วิกฤต PM 2.5 ที่ผ่านมา ทำให้เชียงใหม่ทั้งจังหวัดต้องรับเป้าหมายการลดจุดความร้อน (Hot Spot) ที่เกิดจากการเผาไร่ เผาป่า ลงให้ได้ 50% ในปีหน้า เฉพาะ อ.กัลยาณิวัฒนา มีจุดความร้อนในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา 182 จุด แม้ว่าจะเป็นอันดับที่ 18 จากทั้งหมด 22 อำเภอ ก็ต้องรับเป้าหมายนี้เช่นเดียวกัน
เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่รับมา ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ระดมข้อมูลและวิธีการต่างๆ ที่ได้ทำกันมา เช่น การขายฟางข้าวให้กับชาวไร่กระเทียมที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน การนำเปลือกข้าวโพดที่เหลือจากการสีไปเลี้ยงวัวทั้งด้วยการให้เปล่าและการขาย แม้ว่าดีมานด์และซัพพลายดังกล่าวที่มาเจอกันจะเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กับกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรได้ดี แต่ก็ยังเป็นการจัดการที่ปลายทาง
อ่านข่าว : ปี 67 ตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อน "อ.กัลยาณิวัฒนา" ให้ได้ 50%
ตอซังข้าวและข้าวโพดที่ยังเหลืออยู่ในแปลงปลูกก็ยังคงต้องการการกำจัด แม้ว่าจะมีความพยายามรณรงค์ไม่เผา แต่ใช้วิธีอื่นๆ เช่น การปล่อยวัวเข้าไปกิน และการตัดสางนำไปทำปุ๋ย ก็ยังอาจเกิดขึ้นได้น้อยเพราะต้องใช้แรงงาน รวมทั้งจำนวนวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงก็ไม่สามารถกินเศษวัสดุเหล่านี้ได้หมด การเผาเพื่อสางพื้นที่จึงยังเกิดขึ้น แม้ว่าจะควบคุมไฟไม่ให้ลุกลามเข้าผืนป่าด้วยการทำแนวกันไฟก็ตาม
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhaNdnS9UXKRFNroeQl7YwBQSrlx.jpg)
การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจากพืชไร่ เป็นพืชชนิดอื่นที่ไม่ต้องสางพื้นที่ประจำปี น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนที่หลายๆ พื้นที่พยายามดำเนินการอยู่ในพื้นที่ อ.กัลยาณิวัฒนา
นายธนภัทร รัตนสมัย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายงานบริหารการปกครอง เห็นว่า กาแฟ น่าจะเป็นทางออกที่ดีของที่นี่ เนื่องจากกาแฟสามารถปลูกใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือไม้อื่นได้ ไม่ต้องสางพื้นที่ทุกปี และให้ผลผลิตได้ในระยะยาวกว่าพืชไร่
นายธนภัทร บอกอีกว่า กาแฟที่นี่เป็นกาแฟที่มีคุณภาพดี เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูงและสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสม หลายปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการในพื้นที่ได้นำผลผลิตไปประกวดแข่งขันทั้งในระดับประเทศ เช่น เวทีสมาคมกาแฟพิเศษไทย และเวทีระดับโลก เช่น เวที COE หรือ Cup of Excellence, เวที CQI หรือ Coffee Quality Institute และได้รับรางวัลจากเวทีเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhaNdnS9UXKRFNruORQ5drTcBjjx.jpg)
ข้อมูลการบริโภคกาแฟในประเทศ พบว่า มีการขยายตัวของการดื่มกาแฟมากขึ้นจาก 180 แก้วต่อคนต่อปี เป็น 300 แก้วต่อคนต่อปี เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการดื่มกาแฟทั่วโลก ขณะที่ข้อมูลกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ระบุว่า ไทยบริโภคกาแฟในประเทศประมาณ 70,000 ตันต่อปี แต่ผลิตได้เองเพียง 10,000 ตันต่อปีเท่านั้น ที่เหลือเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ตัวเลขเหล่านี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีของเกษตรพื้นที่สูงของไทย แต่ข้อมูลการปลูกกาแฟของ อ.กัลยาณิวัฒนา กลับไม่เป็นเช่นนั้น
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhaNdnS9UXKRFNrv8v4FtBParORm.jpg)
จากตารางข้างต้นจะเห็นว่า อ.กัลยาณิวัฒนา มีผลผลิตกาแฟเพียง 1,010 ตันเท่านั้น ตารางนี้ยังทำให้เห็นการใช้พื้นที่การเกษตรที่ชัดจนขึ้นว่าอันดับ 1 คือข้าวไร่ ที่ใช้พื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งของพื้นที่เกษตรทั้งหมดของที่นี่ รองลงมาเป็นข้าวโพดมากกว่า 9,700 ไร่ ส่วนกาแฟมีพื้นที่ปลูกเพียง 1,749 ไร่เท่านั้น
และตารางนี้อาจสะท้อนถึงความคุ้นเคยในวิถีเกษตรแบบเดิมๆ ได้ด้วย เพราะจะเห็นว่ามีถึง 829 ครัวเรือนที่ยังคงปลูกข้าวโพด ขณะที่ผลกำไรจากข้าวโพดอยู่ที่ 5-7 บาทต่อไร่เท่านั้น แต่มีเพียง 410 ครัวเรือนเท่านั้นที่ปลูกกาแฟ ทั้งๆ ที่กาแฟมีผลกำไรอยู่ที่ 20-28 บาทต่อไร่
อ่านข่าว : "Lica Coffee" ลานตากกาแฟหนึ่งเดียวใน ต.บ้านแม่แดด อ.กัลยาณิวัฒนา
เมื่อหันไปดูวิถีชีวิตปกาเกอะญอ การปลูกข้าวไร่น่าจะเป็นความจำเป็นเพราะเป็นการปลูกเพื่อบริโภคเป็นส่วนมาก การเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไร่คงไม่สอดคล้องกับวิถีดังกล่าว แต่ข้าวโพดอาจจะมีสถานะเป็นเพียงความคุ้นเคย ผู้นำชาวบ้านที่นั่นก็ยืนยันเช่นนี้
ดังนั้นหาก อ.กัลยาณิวัฒนา จะสามารถพลิกอันดับการปลูกกาแฟทดแทนการปลูกข้าวโพดได้ ก็น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการลดจุดความร้อนอย่างยั่งยืนแบบ win-win เพราะนอกจากจะลดการเผาได้แล้ว ชาวบ้านยังได้ตลาดใหม่ที่มีมูลค่าสูงกว่าข้าวโพดด้วย รวมทั้งการใช้สารเคมีที่จะส่งผลต่อน้ำแม่แจ่มซึ่งเป็นต้นน้ำปิงก็จะลดน้อยลงตามมา
ข้อมูลอาจจะทำให้เห็นทางออกได้ง่าย แต่วิธีที่จะพลิกแผ่นดินกัลยานิวัฒนาคงไม่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ เพราะแม้ชาวบ้านจะบอกว่า พวกเขารู้จักและดื่มกาแฟมามากกว่า 70 ปีแล้ว โดยเป็นการปลูกไว้กินเองตามรั้วบ้าน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า พวกเขาดื่มเครื่องดื่มที่มีกลิ่นและรสชาติคุณภาพระดับโลกมานานแล้ว แต่ทำไมการปลูกขายกลับไม่ขยายตัว
![นายธนภัทร รัตนสมัย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายงานบริหารการปกครอง อ.กัลยาณิวัฒนา](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhaNdnS9UXKRFNrnOgDgBxg1lXLM.jpg)
นายธนภัทร รัตนสมัย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายงานบริหารการปกครอง อ.กัลยาณิวัฒนา
นายธนภัทร รัตนสมัย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายงานบริหารการปกครอง อ.กัลยาณิวัฒนา
นายธนภัทรตอบสั้นๆ ว่า พวกเขาไม่รู้ คือ ไม่รู้ว่าพวกเขามีของดีอยู่ในท้องถิ่น ไม่รู้ความต้องการของตลาด และไม่รู้ว่าผลตอบแทนดีกว่าข้าวโพด
อย่างไรก็ตามในฐานะปลัดอำเภอที่คลุกคลีกับชาวบ้านอย่างใกล้ชิด บอกว่า พวกเขาน่าจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ไม่ยาก หากมีการให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องผ่านผู้นำหมู่บ้านที่พวกเขาให้ความเชื่อถือ ขณะนี้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่มีองค์ความรู้เรื่องกาแฟกำลังรณรงค์ให้เกิดความรับรู้ในด้านมูลค่าของตลาดกาแฟ โดยมีการจัดงาน “สวัสดีกัลยากาแฟ” เป็นงานประจำปีของอำเภอ โดยในปี 2567 จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่ป่าสนวัดจันทร์ (ออป.) ในวันที่ 19-20 ม.ค.
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhaNdnS9UXKRFNrtEOS9RAmvXEth.jpg)
แต่ปลัดอำเภอคนเดิมก็บอกว่า หัวใจสำคัญยังคงอยู่ที่ระยะเวลาและวิธีการในการปรับเปลี่ยน เพราะทุกครอบครัวมีภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเป็นวงรอบประจำปี เช่น ลูกเปิดเทอม ในขณะที่กาแฟต้องใช้เวลาปลูกถึง 3 ปี กว่าจะให้ผลผลิต
ดังนั้น การประคับประคองในระยะการปรับเปลี่ยนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่น ไม่เช่นนั้นข้าวโพดซึ่งให้เงินได้เป็นประจำของทุกช่วงปีก็จะยังครองพื้นที่การปลูกจำนวนมาก ซึ่งหมายถึงการเผาสางไร่รายปีและ PM 2.5 ก็ยังคงเกิดจากแผ่นดินกัลยาณิวัฒนาต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เที่ยว "กัลยาณิวัฒนา" อำเภอลำดับที่ 25 ของเชียงใหม่ 878 ของไทย
ปันน้ำใจ ระดมทุน-สร้างอาชีพ ช่วยผู้ป่วยยากไร้ อ.กัลยาณิวัฒนา