คือกรณีรายชื่อ 21 สส.ของพรรค และหนังสือที่อ้างชื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น ส่งถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ขอให้ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค โดยอ้างขาดความรู้ความสามารถในการบริหารงาน
ทั้งอ้างเรื่องจริยธรรม กรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รองนายกฯและรัฐมนตรีพลังงาน ถูกร้องไปยัง ป.ป.ช.เรื่องแจกถุงยังชีพช่วยน้ำท่วมที่จังหวัดนครศรีฯ เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งหากไปจนสุดทาง และมีผลในเชิงลบ จะถึงขั้นถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และอาจเชื่อมโยงถึงนายกฯ ที่เป็นคนแต่งตั้งด้วย
ปฏิกริยาที่ตามมา มีตั้งแต่นายกฯ เดินหนีไม่ยอมตอบคำถามสื่อในเรื่องนี้ และในการประชุมครม.เมื่อวันอังคาร (10 มิ.ย.) ไม่มีนายพีระพันธุ์เข้าร่วมด้วย ทั้งที่ไม่ได้แจ้งลา และมียืนยันว่า นั่งทำงานอยู่ที่ทำเนียบฯ
แม้จะมีคนในพรรคออกเคลื่อนไหวตอบโต้นายสุชาติ ชมกลิ่น บ้าง แต่เป็นเพียงระดับทีมงานรอบข้างนายพีระพันธุ์ ไม่ใช่สส. ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ในฐานะสมาชิกพรรค หรือ น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการ รมว.พลังงาน ที่ซัดกลับว่าเป็นเรื่องหวังล้มพรรครวมไทยสร้างชาติ ดิสเครดิตนายพีระพันธุ์ เป็นคนประเภท “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” และไล่กลับให้ไปเลี้ยงหลาน
แต่กลับไม่ได้เห็นท่าทีที่เข้มข้นจริงจังจาก สส.ของพรรค ไม่ว่าจะเป็น สส. ที่ปรากฏชื่อและลายเซ็น หรือที่ไม่มีชื่อปรากฏ เพื่อปกป้องหัวหน้าพรรคที่โดนเล่นหนักขนาดนี้ ยกเว้นเพียงสส.3 คนจังหวัดชุมพรใน “กลุ่มลูกช้าง” นายสุพล จุลใส พี่ชาย “ลูกหมี” นายชุมพล จุลใส คนใกล้ชิดกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งเป็นแกนนำ กปปส. ที่ออกโรงปฏิเสธ
มีเพียงนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีอุตสาหกรรม มีเปิดหน้าท้าทายนายสุชาติ ให้กล้ารับสายโทรศัพท์ที่โทรหาหน่อย พูดชัดว่า เป็นเรื่องของคนเสียประโยชน์ หวังป่วนให้พรรคแตกแยก ทั้งข้อสงสัยหนังสือที่บีบให้นายกฯ ปรับ ครม. รวมทั้งลายเซ็น 21 สส. เป็นของจริงหรือมั่ว เพราะเมื่อมีคนปฏิเสธ เท่ากับเป็นเอกสารเถื่อน
จึงเป็นประเด็นจุดพลุข้อกังขาที่น่าสนใจ ทั้งนายเอกนัฏ และ น.ส.ศศิกานต์ ตั้งข้อสงสัยว่า ไม่ตรงกับลายเซ็นที่ใช้ในราชการ หรือจะเป็นเพียงการนำเอกสาร 2 ส่วน คือหนังสือให้ปรับเปลี่ยนครม. กับเอสารลายเซ็น 21 สส. ที่ใช้ในกรณีอื่น มาแปะรวมเข้าด้วยกัน
เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบจากที่ชัดเจน เพราะนายเอกนัฏโบ้ยให้ไปถามนายสุชาติ แต่ขณะเดียวกัน มีข้อสงสัยกลับเช่นกันว่า หากลายเซ็น 21 สส.ที่เห็นว่าเอามาแปะรวมกันกับหนังสือให้ปรับครม.นั้น เป็นลายเซ็นจากกรณีไหน หรือเรื่องอะไร ทำไม ไม่มีใครกล้าพูดชัดเจน
นายทวิสัณฑ์ โลณานุรักษ์ นักวิชาการอิสระ เห็นว่า แม้จะไม่เกิดกรณีนายสุชาติ ส่งหนังสือพร้อมลายเซ็น 21 สส.ไปยังนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไปต่อทางการเมืองลำบากอยู่แล้ว เพราะ 2 บุคคลสำคัญที่ทำให้พรรคเดินหน้าไปได้ในช่วงที่ผ่านมา ไม่อยู่กับพรรคแล้ว ทั้ง “ลุงตู่”ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี และนายทุนยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน ที่ย้ายไปยืนเคียงข้างนายใหญ่ค่ายสีแดง
เมื่อขาดทั้งอำนาจ และกลุ่มทุน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพรรคการเมือง จึงทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติต้องอยู่ในสภาพดังที่เห็น
นายทวิสัณฑ์วิเคราะห์ว่า พรรคเพื่อไทยคงผ่านการตรวจสัญญาณบางอย่างในพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจรักษาไมตรีต่อไป ขณะเดียวกัน นายพีระพันธุ์ ยังโดนร้องจริยธรรมปมแจกถุงยังชีพน้ำท่วม และกรณีถือหุ้นบริษัทเอกชน อีกทั้งยังอาจมีปัญหาเรื่องส่วนตัวอีก จึงเป็นอุปสรรคสำคัญ
ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดยังมีสัญญาณไม่สู้ดีต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อสำนักข่าวชื่อดังแห่งหนึ่ง รายงานว่า ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด นายสุพล หรือ “ลูกช้าง” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงปมขายที่ดินกรมธนารักษ์ ที่ อ.เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี แต่ยังไม่ได้ร่างคำฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เพราะนายสุพลทำเรื่องขอความเห็นไปยัง ป.ป.ช. ต้องรอขั้นตอนตรวจสอบและป.ป.ช.ยืนยันอีกครั้งหนึ่งก่อน
นายสุพล เป็นสส.ชุมพร และเป็น 1 ใน 3 สส.ชุมพรที่ออกโรงปฏิเสธไม่ได้ร่วมลงชื่อในหนังสือที่นายสุชาติส่งถึงนายกฯเพื่อให้ปรับครม.ในสัดส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ
เสมือนเป็นมรสุมถาโถมรุมเร้าเข้ามาในจังหวะที่พรรคกำลังซวนเซ ท้าทายศักยภาพของนายพีระพันธ์ว่าจะฝ่าฟันไปได้หรือไม่ อย่างไร หรือต้องรอให้มี “ตัวช่วย” ให้พ้นช่วงวิกฤติสำคัญ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : นายกฯ บอกปรับ ครม. “ยังไม่มีอะไร” ส่วนเรื่องช็อกมินต์ “เดี๋ยวคงคุยกัน”
โฆษกชี้ รทสช.ไปต่อได้ แต่คงไม่สุดไปกว่านี้ วอนอย่าเพิ่งด่วนสรุป