จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่หลุดออกสู่สาธารณะ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศ โดย ผศ.ธนภัทร ชาตินักรบ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า กรณีนี้ควรถูกพิจารณาใน 2 มิติหลัก ได้แก่ กระบวนการการเจรจา และ เนื้อหาที่อยู่ในบทสนทนา

คลิปเสียง กับข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
ในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศ การที่ผู้นำประเทศหนึ่งพูดคุยกับผู้นำอีกประเทศหนึ่ง ถือว่ามีน้ำหนักในทางกฎหมายอย่างมาก ตาม อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (1969) โดยเฉพาะใน ข้อ 7 ซึ่งระบุให้คำพูดหรือการดำเนินการของบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่ ประมุขของรัฐ, หัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) และรัฐมนตรีต่างประเทศ สามารถถือเป็นการแสดงเจตจำนงของรัฐในเวทีระหว่างประเทศได้
ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นการพูดคุยในลักษณะ "ส่วนตัว" หากผู้พูดดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็อาจถูกตีความว่ามีผลผูกพันต่อประเทศต้นทางได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ถ้อยคำที่อาจตีความได้หลากหลาย เช่น ประโยคว่า "อยากได้อะไรให้บอก" ที่อาจถูกหยิบยกไปตีความเป็นการเปิดช่องเจรจาเชิงยอมอ่อนข้อ ซึ่งในบริบทของข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา ถือว่าอันตรายและสุ่มเสี่ยง
คลิปหลุด ผลทางการเมือง หรือเครื่องมือเจรจา
แม้เนื้อหาหลักในคลิปจะมุ่งไปที่ประเด็น เปิด-ปิดจุดผ่านแดน มากกว่าการพูดถึงเขตอำนาจศาลโลกหรือข้อพิพาทเชิงอาณาเขตโดยตรง แต่ ผศ.ธนภัทร ระบุว่า ในอดีตมีหลายกรณีที่ คำพูดของผู้นำหรือรัฐมนตรีต่างประเทศ ถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ ซึ่งแม้ไทยจะยังไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ อย่างเป็นทางการในกรณีล่าสุดนี้ แต่กัมพูชาอาจยื่นฟ้องหรืออ้างอิงคลิปเสียงดังกล่าวในอนาคตได้ หากบริบทหรือข้อพิพาทมีความซับซ้อนขึ้น

บทบาทกระทรวงการต่างประเทศ รับมือเชิงรุก
สิ่งที่น่าสังเกตคือการตอบสนองของกระทรวงการต่างประเทศที่ค่อนข้างรวดเร็ว โดย ออกแถลงการณ์ประณามการเผยแพร่คลิปเสียงอย่างเป็นทางการ และย้ำว่า "การเจรจาดังกล่าวไม่ใช่ท่าทีของรัฐบาลไทย" พร้อมทั้งเรียกทูตกัมพูชามารับหนังสือคัดค้าน
ข้อกังวลต่อกระบวนการและการจัดการภายในทีมเจรจา
อีกจุดวิพากษ์วิจารณ์สำคัญคือ กระบวนการเจรจาที่เกิดขึ้นในลักษณะ “ยกหูคุยเอง” โดยไม่มีการปรึกษาทีมที่ปรึกษาด้านนโยบายระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานความมั่นคง ผศ.ธนภัทร ระบุว่า การเจรจาในช่วงที่ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทกัน ไม่ควรตกอยู่ในดุลยพินิจของบุคคลเพียงคนเดียว โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้มาจากมติของทีมเจรจาหรือคณะผู้แทนที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ เช่น "ทีม Thailand" ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งขึ้น

ไทยควรเตรียมรับมืออย่างไร
1. แยกบทสนทนาออกจากนโยบายรัฐ ไทยต้องยืนยันชัดเจนว่าการพูดคุยนั้นเป็นลักษณะส่วนตัว ไม่ใช่เจตนารมณ์ของรัฐ และไม่อาจผูกพันในทางกฎหมายได้
2. ระวังถ้อยคำผู้นำ ผู้นำรัฐบาลควรมีที่ปรึกษาทางกฎหมายระหว่างประเทศคอยตรวจสอบถ้อยคำหรือช่องทางการสื่อสารกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทที่ละเอียดอ่อน
3. เสริมบทบาทกระทรวงต่างประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางการเจรจาทุกครั้งอย่างเป็นทางการ และรับผิดชอบการสื่อสารออกสู่ต่างประเทศ
4. เตรียมมาตรการทางกฎหมายและทูต หากกัมพูชาเดินหน้านำคลิปเสียงไปใช้เป็นข้ออ้างในเวทีระหว่างประเทศ ไทยควรมีทีมกฎหมายระหว่างประเทศพร้อมชี้แจงว่าไม่ได้เป็นท่าทีของรัฐไทย
อ่านข่าว : บุกโมเดิร์นเทรดชื่อดัง ยึดเหล็กตกเกรด กว่า 99 ตัน