ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ภาษีทรัมป์ 36% อดีตทูตฯ พิศาล ชี้ทีมไทยแลนด์ต้องปรับกลยุทธ์เจรจา

การเมือง
11:07
134
ภาษีทรัมป์ 36% อดีตทูตฯ พิศาล ชี้ทีมไทยแลนด์ต้องปรับกลยุทธ์เจรจา
อ่านให้ฟัง
07:27อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ทรัมป์ยืนกรานเก็บภาษีนำเข้าไทย 36% เริ่ม 1 ส.ค.2568 ทีมไทยแลนด์เตรียมเจรจารอบใหม่เพื่อลดผลกระทบต่อการส่งออกและแรงงาน ภายใต้ความท้าทายจากดุลการค้า 1.2 ล้านล้านบาทที่สหรัฐฯ มองว่าเสียเปรียบ

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2568 รายการ "ตอบโจทย์" ได้วิเคราะห์นัยจากจดหมายของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่อัตราร้อยละ 36 ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 ตามนโยบาย "Reciprocal Trade and Tariffs" เพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้าสหรัฐฯ กับไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาทในปี 2567

จดหมายระบุว่า "อัตราภาษีร้อยละ 36 ยังต่ำกว่าที่จำเป็นในการลดการขาดดุลการค้าสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ" แต่ทิ้งท้ายว่าสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทีมเจรจาไทยแลนด์เตรียมพร้อมสำหรับการต่อรองรอบใหม่เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต่อภาคการส่งออกที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย

นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา วิเคราะห์ว่า การเจรจากับทรัมป์เปรียบเหมือนการแสดงวงออร์เคสตรา โดยทีมเจรจาไทยต้องมี "คอนดักเตอร์มืออาชีพ" ที่เข้าใจกลยุทธ์และสามารถอ่านใจทรัมป์ได้อย่างแม่นยำ

คอนดักเตอร์ต้องมืออาชีพ อ่านใจทรัมป์ให้ขาด รู้ว่าไพ่ใบไหนต้องเล่น

พร้อมแนะนำให้ใช้บุคลากรทางการทูตที่มีประสบการณ์ เช่น นักการทูตอาวุโสในกระทรวงการต่างประเทศ แทนการจ้างล็อบบี้ยีสต์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 97 ล้านบาทแต่ไม่รับประกันผลลัพธ์ ชี้ว่า ไทยมีไพ่ในมือที่สามารถใช้ต่อรองได้ เช่น การจัดการปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์จากจีน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของทรัมป์ รวมถึงการเสนอซื้อสินค้าสหรัฐฯ เช่น เครื่องบินพาณิชย์และพลังงานจากอลาสกา เพื่อสร้างสมดุลการค้า

อดีตทูตฯ พิศาลเน้นย้ำว่า ดุลการค้า 1.2 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ จีน และไต้หวัน ซึ่งไทยได้รับเพียงค่าแรงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระดับจำกัด

อย่าเต้นตามทรัมป์ จนลืมมองโอกาสอื่นในโลกการค้า

แนะนำให้ไทยขยายตลาดใหม่ เช่น อินเดียที่มีประชากร 1,400 ล้านคน กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมีศักยภาพสูงและเป็นโอกาสในการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เสนอให้รัฐบาลเขียนจดหมายตอบทรัมป์อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าไทยเข้าใจปัญหาการขาดดุลการค้า แต่จะไม่ตอบโต้ด้วยสงครามการค้า และพร้อมเจรจาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมทั้งหยิบยกข้อได้เปรียบที่สหรัฐฯ ได้รับจากไทยมานาน เช่น การให้ใช้ที่ดินสถานทูตสหรัฐฯ บนถนนวิทยุโดยไม่เสียค่าเช่ามานาน 70 ปี หรือการสนับสนุนด้านการวิจัยทางการแพทย์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุว่า ภาษีร้อยละ 36 จะกระทบหนักต่อสินค้าไทยแท้ โดยเฉพาะอาหารแปรรูป เช่น ข้าวหอมมะลิ อาหารกระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีอัตรากำไรเพียงร้อยละ 2-5

ภาษี 36% กระทบอาหารแปรรูป มาจิ้นบางมาก แค่ร้อยละ 2-5 เท่านั้น

และยังเตือนว่า หากเวียดนามได้รับภาษีเพียงร้อยละ 20 หรือฟิลิปปินส์ร้อยละ 17 บริษัทข้ามชาติอาจย้ายฐานการผลิตจากไทยไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า ส่งผลให้แรงงานไทยเสี่ยงตกงาน เขาแนะนำให้รัฐบาลใช้เงินสำรองในการฝึกอบรมทักษะใหม่ให้แรงงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตและบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งเกินไป ซึ่งปัจจุบันกระทบการส่งออกอย่างมาก

การเจรจารอบใหม่นี้ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง ซึ่งเผชิญความท้าทายในการโน้มน้าวสหรัฐฯ หลังจากข้อเสนอรอบก่อนหน้าของไทยไม่สามารถลดอัตราภาษีลงได้เหมือนเวียดนาม ซึ่งลดจากร้อยละ 46 เหลือร้อยละ 20 หรือฟิลิปปินส์ที่ได้ร้อยละ 17

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไทยต้องนำเสนอข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม เช่น การลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ การจัดการสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนอย่างจริงจัง และการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น อาหารแห่งอนาคต (Future Food) ซึ่งใช้ส่วนผสมจากสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับการค้า

ผลกระทบจากภาษีร้อยละ 36 คาดว่าจะส่งผลหนักต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะข้าว อาหารแปรรูป และยานยนต์ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยในปี 2567 ด้วยมูลค่า 1.8 ล้านล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่า หากการเจรจาไม่สำเร็จ อัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 2568 อาจต่ำกว่าร้อยละ 2.5 และอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า เช่น เวียดนามหรือฟิลิปปินส์ ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจในระยะยาว

รัฐบาลไทยวางแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้น จะให้การสนับสนุนผู้ส่งออกผ่านการเยียวยาและการหาตลาดใหม่ เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อยู่แล้ว รวมถึงอินเดียและตะวันออกกลาง ในระยะยาว รัฐบาลจะเน้นปรับโครงสร้างการผลิต ลดต้นทุน และยกระดับเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ การจัดการสินค้าสวมสิทธิ์และการแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าจะเป็นกุญแจสำคัญในการเจรจากับสหรัฐฯ

การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญของทีมไทยแลนด์ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการและแรงงานไทย ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านย้ำว่า ไทยต้องใช้กลยุทธ์ทางการทูตที่ชาญฉลาดและทีมเจรจาที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นธรรมและลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ให้ได้มากที่สุด

อ่านข่าวอื่น :

"ทรัมป์" ไม่เลื่อนเส้นตายภาษี 1 ส.ค. ขู่ขึ้นภาษีนำเข้ายา 200%

"แพทองธาร" ฉะ "อนุทิน" ใส่สีตีไข่ปมจีนไม่พอใจกาสิโน

"อนุทิน" เผย "สี จิ้นผิง" เคยเตือน 3 ครั้งปมกาสิโน แต่รัฐบาลเมินเฉย