ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เปิดเกมรุก "ฟ้อง" กัมพูชา "รุกรานไทย" ก่ออาชญากรรมร้ายแรง

การเมือง
14:53
232
เปิดเกมรุก "ฟ้อง" กัมพูชา "รุกรานไทย" ก่ออาชญากรรมร้ายแรง
อ่านให้ฟัง
11:50อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ไทยมีความพร้อมในการฟ้องแพ่ง-อาญาต่อกัมพูชา และเมื่อข่าวการฟ้องร้องเผยแพร่ออกไป "เกมรุก" ช่วงชิงพื้นที่สื่อก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ออกมาโต้ทันทีว่าไทยกำลังเบี่ยงประเด็นเรื่อง "ละเมิดการยิงก่อนหรือเปล่า"

หลังจากการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางดึก 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.2568 สงครามข่าวสารก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งจากโฆษณาชวนเชื่อจากช่องทางของรัฐบาลกัมพูชา และปฎิบัติการข่าวสาร หรือ ไอโอธรรมชาติจากประชาชนของทั้งสองประเทศ

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า ถ้าพูดถึงเรื่องการหยุดยิง ปัจจุบันยังคงหยุดอยู่ ส่วนโดรนมองว่าเป็นเรื่องของการยั่วยุ ก่อกวน เป็นเทคนิคของฝั่งตรงข้าม เพราะไทยมีการประกาศห้ามบินโดรนทุกประเภท ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.-15 ส.ค.2568 หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

การที่ฝ่ายตรงข้ามส่งโดรนบินเข้ามา ก็เพื่อเช็กว่าไทยจะมีปฏิกิริยาตอบโต้โดรนอย่างไร และต้องการดูว่ารัศมีที่เข้ามา จะเข้ามาได้มากน้อยขนาดไหน ด้วยความเร็วขนาดไหน แต่ยังเชื่อว่า โดรนชุดแรกยังไม่ถึงมีกล้องสอดแนม เรียกว่า เป็นปฎิบัติการขั้นต้น ถ้าไม่มีการตอบโต้ใด ๆ จะเริ่มพัฒนาติดตั้งอุปกรณ์ เพื่อทำการสอดแนม กำหนดบัญชีเป้าหมายทางทหารและยุทธศาสตร์ของฝ่ายไทย หลังจากนั้น เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก จะพัฒนาไปถึงขั้น "โดรนโจมตี"

อย่างไรก็ตาม ไทยมีจุดอ่อนด้านการสื่อสาร แม้จะมีเครื่องมือต่อต้านโดรน เช่น เครื่องตัดสัญญาณ (Jammer) ตาข่ายดักจับ หรือ เลเซอร์ แต่กลับไม่เห็นการแสดงออกถึงการดำเนินการที่ชัดเจน ข่าวเรื่องโดรนไม่ทราบสัญชาติ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ชาวบ้านตกใจ ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ จึงออกมาอธิบาย หรือมีการประชาสัมพันธ์ว่า "ถ้าเห็นโดรนให้รีบแจ้ง"

ฝ่ายไทยไม่สามารถสื่อสารเชิงรุก เป็น "จุดอ่อน" ในการสื่อสารการเมืองของไทยทั้งภายในและต่างประเทศ รวมถึงการใช้ข่าวปลอมของทางกัมพูชา ที่ใช้โฆษกรัฐบาลและกลไกของรัฐในการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) เพื่อเปลี่ยนประเด็นหรือยั่วยุไทย ซึ่งเป็น "สงครามข่าวสาร" ที่ทำให้ทั้ง 2 ชาติเหนื่อยล้า ฝ่ายไทยควรตอบโต้ด้วยการชิงพื้นที่สื่อและเน้นย้ำว่าไทยถูกรุกรานและป้องกันตนเอง

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค.2568 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาระดับทวิภาคี ไทย-กัมพูชา ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า "ไทยวางแผนการดี" เนื่องจากกำหนดการของการประชุมคือ วันที่ 7 ส.ค. วันเดียว แต่ว่ามีการขอให้กำหนดการจัดประชุมระดับเลขาธิการขึ้นในวันที่ 4-6 ส.ค. ก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 7 ส.ค. เพื่อให้การประชุมระดับเลขาธิการเคลียร์ประเด็นปัญหาเบื้องต้นที่ตกลงกันได้ และลดระดับความรุนแรง ซึ่งน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากในระหว่างการประชุมที่ผ่านมา เราไม่เห็นภาพการปะทะหรือมีการยิงเกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย กัมพูชา นั่นหมายความว่า ข้อตกลงในการหยุดยิงยังสามารถดำเนินต่อไปได้

ย้ำว่าแนวทางการเจรจาของไทยต้องเป็นการเจรจาแบบ "ทวิภาคี" คือ ไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ไม่ต้องการให้ชาติอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ แม้ว่ามาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน หรือสหรัฐฯ กับจีนจะเข้าร่วมในวันที่ 7 ส.ค.ก็ตาม โดยให้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้เอื้ออำนวยความสะดวกเท่านั้น

การเจรจาในคณะกรรมการชายแดนทั่วไป จะต้องพูดคุยเรื่อง การหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง การกำหนดพื้นที่ปฏิบัติการและพื้นที่ปลอดทหาร ประเด็นด้านมนุษยธรรม เช่น การที่กัมพูชาไม่เก็บศพทหารของตนเอง ซึ่งผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาเจนีวา ประเด็นที่กัมพูชาอาจมีการวางกับระเบิดเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และประเด็นสงครามข่าวสาร ซึ่งทำให้ทั้ง 2 ประเทศเหนื่อยกับการจัดการเรื่องนี้ ในการเจรจาเชิงบวก ควรลดปัญหาในการสร้างข่าวปลอมซึ่งเป็นในระดับรัฐที่เป็นผู้สร้างขึ้นมา

ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

กัมพูชาใช้ช่องทางของรัฐบาลสื่อสารออกไปทั่วโลก มีโฆษกออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอย่างต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับไทย การสื่อสารของไทยถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลในขณะนี้ ซึ่ง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ให้ความเห็นว่าเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทยมีความชอบธรรมในการเปิดประเด็นตลอดเวลา เมื่อถูกรุกรานด้วยอาวุธจากกัมพูชา ก็ป้องกันตัวเอง ประเทศไทยได้เปรียบด้านกำลังรบที่เหนือกว่า เป็นเหตุผลที่กัมพูชาไม่อยากคุยทวิภาคี เพราะคุยแล้วเสียเปรียบ จึงต้องเบี่ยงประเด็น

การแก้ปัญหาการสื่อสารของไทย จะต้องทำงานเป็นทีม ทั้งฝ่ายการทูต ในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ปฎิบัติการทางการทหาร กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ ปัญหาการสื่อสารที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า การทำงานของรัฐไม่เป็นทีมเวิร์ก เพราะเกิดความไม่ไว้วางใจกันระหว่างฝ่ายการเมืองที่รับผิดชอบด้านต่างประเทศกับฝ่ายทหาร ไม่เหมือนกัมพูชาที่ใช้กลไกของรัฐในการสร้างให้เป็นความเชื่อ ฝ่ายไทยต้องบูรณาการตอบโต้ในทุกรูปแบบ และชิงการสื่อสารเชิงรุกไปด้วย

ศบ.ทก. จะต้องเป็นหลัก ซึ่งระยะหลังนี้ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ประเทศในสหประชาติเริ่มฟังไทย อย่างไรก็ตามฝ่ายการเมืองก็ต้องขับเคลื่อนไปด้วย ขีดความสามารถของกองทัพไปได้ แต่การตัดสินใจใด ๆ ก็ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายนโยบาย

การดำเนินการทางกฎหมายระหว่างประเทศ

มีกลไกที่จะฟ้องร้องกัมพูชาสามารถทำได้หลายรูปแบบ

  • ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC)

แม้ไทยจะไม่ได้เป็นภาคีที่ยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งกัมพูชายอมรับอำนาจศาล ICC มานานแล้ว เหลือเพียงประเทศไทยที่ยังไม่รับ แต่ ICC สามารถ "รับเฉพาะเรื่อง" ได้ พิจารณาเฉพาะเรื่อง "อาชญากรรมสงคราม" และความรับผิดชอบส่วนบุคคลของผู้กระทำผิด ซึ่งอาจนำไปสู่โทษจำคุก ยึดทรัพย์ และเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้ "ฟ้องได้ทั้งแพ่งและอาญาในคราวเดียว" ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าศาล ICC พิจารณาเฉพาะเรื่องอาชญากรรมสงคราม ไม่ใช่เรื่องดินแดน เรื่องดินแดน คือ ศาลโลก ไทยสามารถยื่นฟ้อง ICC ได้โดยตรง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ตรงไปตรงมาที่สุด

  • คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council) UNSC

ในอดีตกัมพูชาเคยยื่นเรื่องไปที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แต่ไม่มีมติใด ๆ ออกมา ซึ่งเท่ากับว่าไทย "ชนะ" ไทยควรยื่นเรื่องต่อ UNSC โดยเน้นประเด็นที่ชัดเจนและพิสูจน์ได้ง่าย เช่น การโจมตีโรงพยาบาล พลเรือน การโจมตีโดยไม่แบ่งแยกเป้าหมายพลเรือนหรือทหาร การโจมตีปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ไทยสามารถขอให้ UNSC ออกมติ หรือส่งเรื่องต่อไปยัง ICC ได้ หรือขอให้รัฐสมาชิกของ UNSC ที่เป็นภาคี ICC ฟ้องร้องแทน

ถ้าตัดสินใจจะฟ้อง หรือศึกษาขั้นตอนเตรียมการฟ้องร้อง ก็ควรจะประกาศไปเลย เป็นการทำลายเกมของกัมพูชา ทำให้พวกเขาวุ่นวายกับการเตรียมแก้ต่าง และอาจทำให้ผู้นำกัมพูชามีปัญหาในการเดินทางระหว่างประเทศเนื่องจากมีคดีติดตัว

ปัญหาการเมืองภายในและการขาดผู้นำที่ชัดเจนของฝ่ายไทย

ขาดผู้นำที่ชัดเจน - การที่รักษาการนายกรัฐมนตรีสั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไป "ศึกษา" แนวทางการฟ้องร้อง แทนที่จะดำเนินการทันที แสดงให้เห็นถึงการขาดความเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญมองว่า "ไม่จำเป็นต้องศึกษาแล้ว" เพราะประเด็นค่อนข้างชัดเจน

ขาดทีมเวิร์ก - มีปัญหาการขาดความวางใจกันระหว่างฝ่ายการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ) กับฝ่ายทหาร ซึ่งทำให้การแก้ปัญหาสถานการณ์ขาดความเป็น "ทีมเวิร์ก"

ผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน - การที่ไม่มี "หัว" หรือผู้สั่งการที่แข็งแรงและชัดเจน ทำให้ฝ่ายปฏิบัติงานในพื้นที่ เช่น นักการทูตและทหาร แม้จะมีความพร้อมและข้อมูลหลักฐานครบถ้วน แต่ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และเชิงรุกได้ การไม่มีรมว.กลาโหม ก็เป็นปัญหาต่อการบัญชาการสถานการณ์ปัจจุบัน "เสมือนไม่มีรัฐบาล" ในการดำเนินการ

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชายังคงมีความซับซ้อน แม้จะมีการหยุดยิงและเจรจา แต่ความท้าทายที่สำคัญของไทย คือ การเสริมสร้างศักยภาพในการสื่อสารเชิงรุก การดำเนินการทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และการมีผู้นำที่ชัดเจนเพื่อสั่งการและประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นทีมเวิร์ก เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ

รายการ "ตอบโจทย์" ประจำวันที่ 6 ส.ค.68

ผู้ร่วมรายการ

  • พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
  • ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ผู้ดำเนินรายการ

  • อภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์

อ่านข่าวอื่น :

ผลประชุม GBC "ไทย-กัมพูชา" เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ

เริ่มแล้ว การประชุม GBC ไทย - กัมพูชา สมัยวิสามัญ