ปัจจุบันการใช้ชีวิตและการมีครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนตกงาน รายได้ไม่พอกับรายจ่ายในสังคมเมืองเราพบเห็นการสู้ชีวิตคนหาเช้ากินค่ำ "ปากกัดตีนถีบ" ลำพังตัวเองยังจะไม่รอด ไหนจะครอบครัวอีก ภายใต้สังคมที่ต้องดิ้นรนนี้ยังมี "แม่" อีกมากมายที่พยายามเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่เป็นคนดีของประเทศต่อไป
วันนี้ไทยพีบีเอส ออนไลน์ ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ “เมย์” จันทาดี" อายุ 41 ปี แม่ค้าขายลูกชิ้นทอดและไก่ปิ้งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างย่านเคหะบางบัว เขตหลักสี่ กทม. กับการเลี้ยงลูกวัยกำลังเติบโต 3 คน (ชั้น ม.3 , ป.2 และ อนุบาล1) ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับครอบครัวที่มีลูกวัยกำลังกิน กำลังใช้
เรามักพบเห็นครอบครัวนี้ มาขายของพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ พ่อแม่ลูก 5 ชีวิต ภายใต้รอยยิ้มและความเหน็ดเหนื่อย เรามองเห็นมนุษย์แม่แบบ "เมย์" ที่สู้ชีวิตฟ่าฟันในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างน่าสนใจและน่าทึ่งในแนวคิดการเลี้ยงดูลูก

ช่วยกันขายทั้งครอบครัว
ช่วยกันขายทั้งครอบครัว
ครอบครัวเรามีกัน 5 คน ลูกชาย 2 คน และ ลูกสาว 1 คน และยังมีพ่อกับแม่ที่ต้องดูแลอีก 2 คน ช่วยกันกับสามี (เอกพงษ์ คำสีแดง วัย 42 ปี)
ตอนแรกเราเริ่มต้นจากเดินขาย ไม่มีรถพ่วงข้างแบบนี้ จำได้เลยว่าวันแรกลงทุนขาย 375 บาท พอเริ่มมีลูกค้าเพิ่มเรื่อยๆ บวกกับชีวิตล้มบ้างลุกบ้างสารพัด ผิดพลาดหลายอย่าง แต่เรานำจุดนั้นมาปรับปรุงพัฒนาตัวเองเพื่อเลี้ยงลูกได้ เลี้ยงพ่อแม่เราได้
มาถึงยุคนี้ เศรษฐกิจตอนนี้ ก็แย่จริงๆ ข้าวของอุปกรณ์วัตถุดิบเครื่องปรุงขึ้นทุกอย่าง แต่ว่าเราก็พอขายได้ ต้องปรับช่วงเวลาขายลากยาวให้นานขึ้นอีกหน่อยจาก 8 ชั่วโมง เพิ่มเป็น 10 ชั่วโมง ยอมเหนื่อย แต่สถานการณ์แบบนี้ เชื่อว่าคนขายของเป็นกันทุกคน เศรษฐกิจไม่ดี

ลูกชิ้นทอด ลงของประมาณ 50 กิโลกรัม ส่วนไก่ปิ้งลง 30 กิโล
ลูกชิ้นทอด ลงของประมาณ 50 กิโลกรัม ส่วนไก่ปิ้งลง 30 กิโล
บอกลูก บอกแฟนว่า เราต้องสู้นะเพราะว่าเราเกิดมา เริ่มจาก"ศูนย์" ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งมอเตอร์ไซค์จะขี่ แต่เราก็ค่อยๆเก็บ ค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขกันช่วยกัน เช่น ไก่ย่างที่ขาย ก็ลองผิดลองถูกหลายสูตร แต่ความโชคดีคือ ลูกค้าน่ารักด้วยเขามาซื้อแล้วก็ช่วยคอมเมนต์แนะนำว่า มันขาดโน่น ขาดอย่างนี้ ก็นำมาปรับปรุง นำสิ่งเหล่านี้จากลูกค้ามาปรับปรุงแก้ไข และทำให้มีลูกค้าในทุกวันนี้

ขายไก่ปิ้งเสียบไม้ พาลูกๆ มาช่วยขาย
ขายไก่ปิ้งเสียบไม้ พาลูกๆ มาช่วยขาย
ลงทุนขายของวันหนึ่งๆ เฉลี่ย ลูกชิ้นทอด ลงของประมาณ 50 กิโลกรัม ส่วนไก่ย่างลง 30 กิโล เพิ่มขึ้นจากช่วงวันแรกที่ขายอยู่ประมาณ 15 กิโลกรัม
การพาลูกๆ มาใช้ชีวิต มาเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เขามีวิชาชีพติดตัว เราก็จ่ายค่าแรงให้ลูกนะ เขาจะได้มีเงินเก็บ มีทุนไว้สำหรับเรียนสูงๆ คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะติดตัวลูกไป คือ การรู้จักคุณค่าของเงินที่หามาได้ตั้งแต่เด็ก เป็นหลักที่สอนลูกเรียนรู้จากชีวิตจริง
พวกเราทำกันแบบนี้ ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะว่าลูกต้องเรียนด้วย และไหนจะต้องทำการบ้านด้วย แต่ลูกเราทั้ง 3 คน มีแววเป็นเด็กดีทั้ง 3 คน คนโตค่อนข้างเป็นเด็กเรียนดี ส่วนอีก 2 คน ยังเล็กอยู่ เราบอกลูกว่าแม่ไม่มีต้นทุน สมมุติว่า วันหนึ่งถ้าเราไม่ขายของ เราไม่ทำแบบนี้หนูจะไม่มีเงินเรียนปริญญาตรี จะไม่มีเงินเดือนสูงๆ ถ้าเกิดวันหนึ่งข้างหน้ามันผิดพลาด หรือถามว่าเราหวังไหมก็ไม่อยากจะหวัง แต่ใจเราก็อยากให้ลูกจบ ป.ตรี เราจึงพยายามดิ้นรนทุกอย่างที่เห็นอยู่วันนี้

ลูกๆ มาช่วยขายของ บทเรียนชีวิตจริง
ลูกๆ มาช่วยขายของ บทเรียนชีวิตจริง
บอกลูกเสมอว่า การเรียนไม่ต้องเอาได้ที่ 1 หรือ ที่ 2 ก็ได้ เราเอาแค่ไม่ต้องซ้ำชั้นก็พอ ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องที่ 1 แต่จริงๆ คือ ลูกเราเรียนเก่งอยู่แล้ว แต่เราคือยังไงก็ได้ ขอเพียงเขารียนและเป็นคนดีก็พอ
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตที่คิดว่าลูกๆ จะซึมซับได้จากเราไป เรื่องการค้าขาย อย่างลูกสาวคนโตหมักไก่เป็นแล้ว หนีบไก่ที่ใช้ปิ้งกับไม้ก็ทำได้แล้ว ตอนนี้ มอบหมายให้เขาดูแลร้านลูกชิ้นทอดติดๆ กัน เขาก็ขายได้จัดการเงินรายรับรายจ่ายได้ ส่วนของทอดก็ฝึกเสียบขายจนชำนาญขึ้น ยืนขายก็ได้แล้ว"

มาเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เขามีวิชาชีพติดตัว
มาเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เขามีวิชาชีพติดตัว
เราพยายามสอนลูกและบอกว่าวันหนึ่ง ลูกอาจจะไปถึงจุดหมายของการ เรียนจบปริญญาตรีมา แต่มันอาจจะเหนื่อยท้อ หรืออาจได้ทำงานแล้ว แต่อยู่ๆ มันถึงจุดที่ไม่อยากทำงานตรงจุดนั้นแล้วก็จะมาขายตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็มีวิชาติดตัว ก็ยังมีทางเลือกทำได้ ค่อยๆเก็บค่อยๆ ทำสบายใจกว่า
การสอนให้เรียนรู้และเริ่มต้นการใช้ชีวิตตั้งแต่ตอนนี้ เพราะอยากให้ลูกทำเป็น เผื่อวันหนึ่งชีวิตพ่อกับแม่มองไม่เห็นข้างหน้า เจอทางตัน หรือเผื่อเราเป็นอะไรไป ลูกจะได้ทำเลี้ยงตัวเองได้ก็จะได้สอนลูกในด้านนี้ ซึ่งน้องอาจจะเรียนเสร็จแล้วอาจจะอยากมาขายของก็ได้ส่งเสียตัวเองก็ได้

เมย์ จันทาดี
เมย์ จันทาดี" แม่ค้าขายไก่ย่างและลูกชิ้นทอด แม่ลูก 3 สอนรู้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเอง
บ้านเราผ่านวิกฤตมาแล้ว ตอนที่พ่อของเด็กๆ (สามี) เคยป่วยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต สถานะที่บ้านและการเงินแย่มาก รถเกือบโดนยึด สารพัดอย่างที่ประเดประดังเข้ามา บ้านเช่าก็จะไม่มี ไหนจะค่าใช้จ่ายลูกทั้ง 3 คนอีก จากจุดนั้นแย่สุดคือ ตอนพ่อน้องป่วยต่อเนื่องประมาณ 2 ปีที่แล้ว จากคนมีเงินหลักแสนก็ฟุบลงไปเลย ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าลูก 3 คน คือจุดนั้นพอเห็นแฟนป่วยปุ๊บ เราอยากทำงานหนักขึ้น ทำทางไหนได้เงินเยอะๆ เราผ่านความลำบาก ผ่านจุดนั้นมาแล้ว วันนี้บอกลูกไปว่าวันนี้เราอาจจะลำบากแต่วันหน้าเราอาจจะสบายก็ได้
ส่วนการสอนลูกๆ ทั้ง 3 คน มีทั้งชม และ มีทั้งดุ ตามใจแบบมีเหตุผลแต่ไม่ปล่อยจนเหลิง และภูมิใจกับลูกทุกคน ตัวเรามีดุบ้างและชมบ้าง แต่ถ้าเราชม บางทีมันจะเยอะเกินไปเด็กก็จะเหลิง
สิ่งที่ตั้งใจสอนเค้าบอกเขาว่าชีวิตมันไม่ง่ายนะลูก และชีวิตมันไม่ยากเกินไปนะลูก ชีวิตมันจะมีทั้งสุขแล้วก็จะมีทั้งลำบากก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆปรับตัวไป ค่อยๆแก้ไขบอกลูกเสมอว่าพลาดได้ผิดได้ แต่เราต้องตั้งใจทำ และเป็นคนดี ลูกๆ ก็ให้กำลังใจเรากลับ บอกเราว่าโอเค สู้ๆนะแม่ เท่านี้เราก็ภูมิใจ เรารู้ว่าทั้ง 3 คนเป็นเด็กดี

เด็กๆ มาช่วยขายของ พาลูกเรียนรู้ชีวิตจริง
เด็กๆ มาช่วยขายของ พาลูกเรียนรู้ชีวิตจริง
เมื่อชวนคุยถึงการสู้ชีวิตในโลกยุคนี้ถามว่าเป็นการสู้แบบไหน "เมย์" หัวเราะอารมณ์ดีตามสไตล์ ตอบแบบชัดเจนว่า เป็นการสู้แบบอดหลับอดนอน แต่ว่ามันก็ต้องแบ่งเวลาเวลานอนให้พอ มีเวลาพักเราก็ต้องพัก
เราทำงานตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ส่วนนอนก็คือผลัดกันนอนกับพ่อเขา วันนึง 8-9 ชั่วโมง ต้องพักให้พอ ที่สำคัญคือ แบ่งเวลาให้ลูกด้วย
เป็นแม่ยุคนี้ ต้องสู้ ต้องทน ต้องอึด ต้องถึก ไม่ว่าจะเกิดอะไร ผ่านอะไรมาในชีวิต แต่ทุกอย่างมันต้องไปต่อให้ได้ เพราะมันไม่ได้มีแค่เรา คนอื่นเขาก็เป็นบางทีชีวิตคนอื่นเขาอาจจะแย่กว่าเราก็ได้ แต่เราโชคดีที่สุดคือ สภาพร่างกายเรายังไม่เจ็บไม่ป่วยแค่นั้นก็โอเคแล้ว พร้อมสู้ต่อ
ขณะเดียวกัน เมื่อพูดคุยถึงสิ่งที่ต้องการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อสนับสนุนมาตรการ หรือ นโยบายให้คนที่ค้าขายแบบไม่มีกิจการใหญ่โต "เมย์" บอกว่าอยากให้ช่วยดูแลเรื่องของวัตถุดิบ, ซอสปรุงรส, ผงชูรส หรือ อย่างเช่น น้ำตาลปี๊บมีราคาสูงมาก

ไก่ปิ้ง ลูกสาวช่วยหมัก ช่วยเสียบไม้
ไก่ปิ้ง ลูกสาวช่วยหมัก ช่วยเสียบไม้
ถามว่าแพงขนาดไหน แพงขนาด ลงทุนไก่ 30 กิโลกรัม แต่ต้องจ่ายเงินซื้อวัตถุดิบ พวกซอส พวกเครื่องปรุงต่างๆ ที่จำเป็น เฉลี่ยวันละ 1,000 บาทแต่เราก็สู้ทำไงได้ ราคามันพุ่งขึ้นมา อย่างน้ำมันพืชบางช่วง ขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ปรับเพิ่มอีก 50 บาท แล้วมันไม่ได้มีแต่น้ำมันพืชไง วัตถุดิบขึ้นไล่ๆ กันอีกหลายอย่างก็มี
ถ้าวิงวอนได้ อยากฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่รัฐบาลช่วยได้ ก็อยากขอให้ช่วยค่าครองชีพ เพราะคนที่มาซื้อก็บ่นกัน และมีผลต่อกระเป๋าของคนซื้อด้วยค่ะ
มีคนบอกว่า หนูไปซื้อมาม่ามา 7 บาท หนูขอซื้อลูกชิ้นพี่ 10 บาทได้ไหม แล้วหนูก็ขอผักฟรี (ผักที่ร้านแถมให้เวลาซื้อลูกชิ้นทอด) จากร้านพี่ไปใส่ด้วยได้ไหม เราก็บอกว่าเอาเลยเอาเลย เราเข้าใจ
ส่วนเรื่องจุดเด่นของร้านเรา ก็พยายามปรับไปเรื่อยๆ และพยายามเพิ่มความหลากหลาย เช่น เพิ่มเกี๊ยวทอด หรือของทอดให้มีความหลากหลายหรือแม้กระทั่งผักฟรี รวมถึงน้ำจิ้ม เราปรุงเป็นสูตรของเรา ใส่เพิ่มไปมีน้ำมะขามเปียก มีแถมพริกแห้ง ฟีดแบ็คลูกค้าบอกว่าอร่อย

มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ขายไก่ปิ้ง ลูกชิ้นทอด
มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ขายไก่ปิ้ง ลูกชิ้นทอด
ตอนแรกลูกค้าก็ติว่า มันจืดไป หรือบางคนก็บอกว่ามันเปรี้ยวไป เค็มไป เราก็เอาคำของลูกค้า ซึ่งพวกเค้าเป็นหัวใจสำคัญเลย ลูกค้าสุดยอดมากแบบไม่ทิ้งเรา วันนี้จืด วันหน้าหนูมาลองใหม่ เขาก็มาลองจนทุกวันนี้ ซึ่งเขาช่วยอุดหนุนกันจริงๆ ส่วนกำไรและรายได้ที่เกิดขึ้น อย่างไก่หนึ่งวันจะเตรียมขายไว้ 30 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อก่อนได้กำไรครึ่งครึ่ง เช่น เราลงทุน 2,000 ก็จะได้ 2,500 บาท แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้ถึงขนาดนั้น
อย่างเราลงทุน 2,000 เราก็จะได้ 1,000 บาท หรือพันนิดๆ หักค่าใช้จ่ายก็จะเหลืออยู่ประมาณพันเดียวเพราะค่าเครื่องปรุง ค่าซอสปรุงรส ค่าน้ำตาลปี๊บ ข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นต้องใส่ ถ้าไม่ใส่มันก็ไม่อร่อยไม่มีจุดเด่นของเรา หรือที่เพิ่มเติมคือ สูตรไก่ย่างแบบไม่ใส่น้ำตาลเลย ตามที่ลูกค้าเรียกร้อง หรือจะมีปลาร้าสับคั่วสุกแถมให้ แล้วก็จะมีสูตรหวานให้ลูกค้ากินกับข้าวเหนียวได้เลยไม่ต้องใช้น้ำจิ้มก็อร่อยก็ปรับไปเรื่อยๆ
"เมย์" เป็นภาพฉายของ "ซุปเปอร์มัม" ในยุคที่ ต้องต่อสู้ ดิ้นรน มุ่งมั่นฟันฝ่ากับทุกเรื่องราวที่เผชิญในโลกแห่งความเป็นจริง
รายงานพิเศษ / ภาพ : ภัทราพร ตั๊นงาม
แท็กที่เกี่ยวข้อง: