13 ส.ค.2568 ครบรอบ 71 ปีแห่งการหายตัวไปอย่างลึกลับของ "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ โต๊ะมีนา" บุรุษผู้เป็นทั้งอิหม่าม นักการศึกษา นักกิจกรรม และนักการเมือง ผู้ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องราวของเขาไม่ใช่เพียงอดีต แต่ยังคงสะท้อนความตึงเครียดของความขัดแย้งที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน
"หะยีสุหลง" เกิดในปี พ.ศ.2438 ที่กัมปงอานูรู ปัตตานี ในครอบครัวผู้นำทางศาสนา เขามีโอกาสเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะตั้งแต่อายุ 12 ปี ซึ่งถือเป็นเรื่องพิเศษสำหรับคนในยุคนั้น ที่เมกกะ เขาได้ศึกษาศาสนาและได้รับอิทธิพลจากนักวิชาการอาหรับผู้มีแนวคิดปฏิรูป ซึ่งสอดคล้องกับกระแสการปฏิรูปศาสนาอิสลามในยุคนั้นที่มุ่งบูรณาการการเรียนรู้ทางศาสนาเข้ากับวิชาทางโลก เช่น วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ หะยีสุหลงได้ยึดแนวคิดสายปฏิรูปนิยม (Modernist) ที่นำโดยมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ประเทศอียิปต์
หลังจากภรรยาและบุตรเสียชีวิต "หะยีสุหลง" ตัดสินใจเดินทางกลับปัตตานี เขารู้สึกผิดหวังกับแนวทางการปฏิบัติศาสนาอิสลาม ในท้องถิ่นที่ยังคงปะปนกับความเชื่อและพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
ด้วยความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ เขาจึงเริ่มต้นปฏิรูปการศึกษา เริ่มสอนส่วนตัวตามมัสยิดต่าง ๆ แม้จะได้รับการต่อต้านจากครูสอนศาสนารุ่นเก่าที่มองว่าแนวทางของเขาเป็นแบบวะฮาบีย์ แต่หะยีสุหลงเชื่อมั่นในการผสมผสานการศึกษาทางโลกเข้ากับการศึกษาศาสนา
เขาก่อตั้งระบบมัดราซะฮ์ขึ้น เพื่อทำให้การศึกษาศาสนาเป็นระบบมากขึ้น มีหลักสูตรที่บูรณาการวิชาทางโลก แม้รัฐบาลไทยจะมองว่าการศึกษาระบบนี้ขัดขวางการรวมกลุ่มชาวมลายูเข้ากับชาวไทยส่วนใหญ่ แต่หะยีสุหลงก็สามารถสร้างความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบการศึกษาได้

หะยีสุหลง ผู้นำทางจิตวิญญาณและมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
หะยีสุหลง ผู้นำทางจิตวิญญาณและมีความรู้ด้านดาราศาสตร์ จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
ผู้นำทางการเมือง-ข้อเรียกร้อง 7 ประการ
ความท้าทายในการปฏิรูปการศึกษาและนโยบาย "รัฐนิยม" ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเน้นอัตลักษณ์ไทยพุทธ ภาษาไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้หะยีสุหลงหันสู่การเมือง
เขาเห็นว่านโยบายนี้กีดกันชาวมลายูมุสลิม โดยเฉพาะการบังคับให้ใช้ภาษาไทยในโรงเรียนและห้ามสอนศาสนาอิสลาม เขาเรียกร้องให้ภาษามาลายูเป็นภาษาราชการควบคู่ภาษาไทย และให้มีการสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียน
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ มีแนวคิดให้สิทธิปกครองตนเองบางส่วนแก่ภาคใต้ ผ่าน พ.ร.บ.อุปถัมภ์ศาสนาอิสลาม ซึ่งยอมรับบทบาทผู้นำศาสนา หะยีสุหลงได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี (PICP)
ในฐานะผู้นำของ PICP หะยีสุหลงได้ร่าง "ข้อเรียกร้อง 7 ประการ" เพื่อเสนอต่อรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2490 สะท้อนถึงความปรารถนาที่จะให้ภาคใต้ของไทยถูกปกครองโดยคนในท้องถิ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของชาวปาตานี โดยมีสาระสำคัญคือ
- แต่งตั้งผู้ปกครอง ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดใน 4 จังหวัด (ปัตตานี สตูล ยะลา นราธิวาส) ต้องเป็นมุสลิมท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง และมีอำนาจสมบูรณ์ทั้งทางศาสนาอิสลามและการแต่งตั้ง/ถอดถอนข้าราชการ
- สัดส่วนข้าราชการร้อยละ 80 ในแต่ละแผนกของ 4 จังหวัด ต้องเป็นชาวมาลายู (หรือมุสลิม)
- ภาษาราชการ ให้ใช้ภาษามาลายูคู่กับภาษาไทยในเอกสารราชการ
- การศึกษา จัดให้มีการศึกษาภาษามาลายูตลอดชั้นประถม
- ศาลอิสลาม ให้มีศาลอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีอำนาจพิจารณาคดีตามกฎหมายอิสลาม
- ภาษีท้องถิ่น รายได้และภาษีที่เก็บได้จาก 4 จังหวัด ต้องนำมาใช้จ่ายภายในพื้นที่เท่านั้น
- คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจออกระเบียบเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม โดยความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจสูงสุด (ตามข้อ 1)
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านี้ โดยอ้างว่าระบบที่มีอยู่เพียงพอแล้ว และข้อเรียกร้องดังกล่าวยังถูกมองว่าเป็น "การแบ่งแยกการปกครอง" และชาวมลายูบางส่วนก็ไม่สนับสนุน เกรงกระทบสถานะเดิม ทำให้ข้อเรียกร้องไม่สำเร็จ

นิทรรศการองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์อิสลาม ในงานครบรอบ 71 ปีการจากไปของ หะยีสุหลง
นิทรรศการองค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์อิสลาม ในงานครบรอบ 71 ปีการจากไปของ หะยีสุหลง
หายตัวปริศนา มรดกแห่งการต่อสู้ครอบครัว "โต๊ะมีนา"
หลังความเพิกเฉยของรัฐต่อข้อเรียกร้อง 7 ประการ หะยีสุหลงเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป และเรียกร้องให้ชาวบ้านในภาคใต้คว่ำบาตรการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2491 เขาได้เข้าร่วมกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งทำให้การกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการกบฏ และเป็นศัตรูของประเทศไทย ต่อมา เขาถูกจับกุมในข้อหาปลุกระดมและเรียกร้องให้คว่ำบาตรการเลือกตั้ง และถูกบังคับให้รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เป็นระยะ สถานการณ์นี้สร้างความขุ่นเคืองแก่ชาวยาวีและถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด
ข้อมูลจาก การหายไปของ "หะยีสุหลง" การผูกขาดพื้นที่ความทรงจำ วันที่ 13 ส.ค.2497 หะยีสุหลง พร้อมด้วยบุตรชายคนโต อาหมัด โต๊ะมีนา ผู้ทำหน้าที่ล่าม เพราะคนอื่น ๆ มีปัญหาในการสื่อสารเป็นภาษาไทย และผู้ใกล้ชิดอีก 2 คน ได้แก่ วัน อิสมาน บิน อาหมัด และ หะยีเจ๊ะอิสเฮาะ บินเจ๊ะยูโซ๊ะ ได้รับคำสั่งให้ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจสงขลา เพื่อเดินทางไปขึ้นศาล แต่หลังจากนั้น พวกเขาทั้ง 4 คนก็หายสาบสูญไป

เด่น โต๊ะมีนา บุตรชายของหะยีสุหลง
เด่น โต๊ะมีนา บุตรชายของหะยีสุหลง
บทสัมภาษณ์ เด่น โต๊ะมีนา ย้อนรำลึกถึงคุณพ่อ "หะยีสุหลง" ระบุว่าคณะกรรมการสอบสวนภายใต้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ.2501 ได้สรุปว่า หะยีสุหลงและคณะ ถูกสังหารแล้วทิ้งลงทะเลใกล้เกาะหนูเกาะแมว ที่ จ.สงขลา
การหายตัวไปของหะยีสุหลง สร้างความยากลำบากอย่างแสนสาหัสให้กับครอบครัวโต๊ะมีนา "เด่น โต๊ะมีนา" บุตรชาย เล่าถึงช่วงชีวิตที่ต้องตื่นตี 4 ช่วยมารดาทำขนมขาย และได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านมุสลิมในนครศรีธรรมราช
ครอบครัวต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้คดี แม้ภายหลังคุณหญิงละเอียด ภริยาจอมพล ป.พิบูลสงคราม จะแนะนำให้เด่นไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ โดยให้คำมั่นว่า จะดูแลค่าใช้จ่าย และยังบอกว่าให้เขาเรียนสูง ๆ คนจะได้ทำอะไรเขาไม่ได้ และ เด่น โต๊ะมีนา ก็เรียนกฎหมายตามที่บิดาปรารถนา และก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง

หะยีอามีน โต๊ะมีนา บุตรชายคนที่ 2 ของหะยีสุหลง
หะยีอามีน โต๊ะมีนา บุตรชายคนที่ 2 ของหะยีสุหลง
ครอบครัวโต๊ะมีนายังคงเผชิญกับการคุกคาม "หะยีอามีน โต๊ะมีนา" บุตรชายคนที่ 2 ของหะยีสุหลง ถูกจับกุมในข้อหากบฏเช่นเดียวกับบิดา และถูกขังฟรีอยู่ 4 ปี ก่อนจะถูกปล่อยตัว และต้องหนีไปมาเลเซีย เพื่อเอาชีวิตรอด แม้จะมีแรงกดดันให้เข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน แต่ เด่น โต๊ะมีนา เลือกที่จะต่อสู้ผ่านกระบวนการรัฐสภา
ปัจจุบัน พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา หลานสาวของหะยีสุหลง และเป็น สส. รุ่นที่ 3 ของตระกูลบอกว่า ภาพจำสำหรับปู่ที่ถูกเล่าโดยพ่อ คือ เด่น โต๊ะมีนา และครอบครัว คือ จดหมายจากเรือนจำของปู่ ที่เปลี่ยนชีวิตของครอบครัวไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้คุณพ่ออายุกว่า 90 ปีแล้วยังพูดเสมอว่า ไม่รู้ว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นในช่วงที่พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เราเองเกิดมากับความรุนแรง 21 ปีแล้ว เรายังไม่เห็นทีท่าว่าจะหยุดได้เลย ถ้าเราไม่เริ่มจากการพูดคุย ใช้ความรุนแรงทั้งสองฝ่าย สันติภาพที่เราพูดถึง ชั่วอายุของตัวเอง ก็อาจไม่เห็นเช่นกัน
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้สถิติการสูญหายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่า ไม่ง่ายที่จะผลักดันให้เกิดสันติภาพได้ในเร็ววัน เพราะยังมีหลากหลายเรื่องราว มีรากเหง้าของปัญหา มีชุดความคิดอีกมากมายต่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่ามกลางความรุนแรงที่เกิดขึ้น

พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา หลานสาวของหะยีสุหลง
พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา หลานสาวของหะยีสุหลง
ความทรงจำที่ถูกผูกขาด อนาคตที่ยังคลุมเครือ
การหายตัวไปของหะยีสุหลงและผู้ร่วมชะตากรรมอีก 3 คน สะท้อนถึงปัญหา "การอุ้มหาย" ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่สุด ซึ่งแตกต่างจากความสูญเสียอื่น ๆ เพราะเป็นการสูญเสียที่ไม่ชัดเจน และไม่สามารถยืนยันความสูญเสียได้
ปัจจุบันการพูดถึงหะยีสุหลง ยังคงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และทางการยังคงระมัดระวังในการกล่าวถึงบทบาทของเขา ในประวัติศาสตร์ความไม่สงบในภาคใต้ สำหรับบางกลุ่มหะยีสุหลงถูกมองว่าเป็นกบฏ ในขณะที่คนในพื้นที่ยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษ
ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงดำเนินต่อไป และกรณีของหะยีสุหลง ยังคงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า หากไม่มีการเรียนรู้บทเรียนจากอดีต การสร้างสันติภาพที่แท้จริงก็เป็นไปได้ยาก
การเปิดพื้นที่ให้กับประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน และการปลดปล่อยการผูกขาดพื้นที่ความทรงจำ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวไปสู่ความปรองดองที่ยั่งยืน
ตราบใดที่ความจริงยังไม่ปรากฏอย่างครบถ้วน เรื่องราวของ "หะยีสุหลง" ก็ยังคงเป็นบาดแผลและคำถามที่รอคอยคำตอบอยู่ในใจของผู้คนเสมอมา
แหล่งที่มาข้อมูล : PRIDI Interview: เด่น โต๊ะมีนา ย้อนรำลึกถึงคุณพ่อ ‘หะยีสุหลง’, Haji Sulong, The Role Of Haji Sulong In Fighting Special Autonomy For Patani Southern Thailand (1947-1954), การหายไปของ ‘หะยีสุหลง’ การผูกขาดพื้นที่ความทรงจำ, ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับ "ข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง"
อ่านข่าวอื่น :
"ตรวจเพศนักกีฬา" แข่งขันยุติธรรมหรือทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ?
เปิดคำร้อง 36 สว.ปมคลิปเสียง "แพทองธาร-ฮุนเซน" แจงยิบผิดจริยธรรมข้อใด