วันนี้ (14 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 36 คน ต่อกรณีคลิปสนทนาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลจะนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 ส.ค.นี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5)
ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของ น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีจะพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหา ข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้
โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าหากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาและความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
ประการสำคัญไม่มีเหตุผลความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว และเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหารหรือ สภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า uncle หรือลุง และแจ้งว่า "จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" รวมทั้งเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า "ฝั่งตรงข้าม"
และประกอบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในห้วงที่ผ่านมาพบว่าหลังจากที่มีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันวันที่ 28 พ.ค.2568 ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชามีความพยายามขับเคลื่อนและดำเนินมาตรการต่างๆตามที่วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับ โดยเฉพาะการยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใดๆ จนบุคคลสำคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรี ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยด่วนและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ
แต่นายกรัฐมนตรีไทยยังคงนิ่งเฉยและไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวหรือกำหนดมาตรการใดที่มีความชัดเจน อีกทั้งเมื่อสื่อมวลชนตั้งคำถามด้วยความห่วงใยประเทศ ในทำนองว่าทางกัมพูชามีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว 200 เมตร นายกรัฐมนตรีกลับถามทันทีว่า
ไปดูมาแล้วหรือยัง และผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันมาแล้ว ว่ามีการรุกล้ำเข้ามา 200 เมตร รวมทั้งการตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตร กับตระกูลสมเด็จฯ ฮุน เซน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีชี้แจง แต่นายกฯ กลับโกรธ จนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน
นอกจากนี้ยังอ้างถึงเหตุการณ์ประชุมคณะกรรมการชายแดนไทยกัมพูชา ในช่วงวันที่ 14 - 15 มิ.ย.2568 ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา ซึ่งทางผู้นำกัมพูชาใช้โอกาสนี้ออกแถลงการณ์ที่ไม่ถูกต้อง กรณีการหยิบยกเรื่องนำข้อพิพาท 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและมีการหารือเรื่องการใช้แผนที่ 1:200,000 ในการกำหนดเขตแดน แต่ฝ่ายไทยมีเพียงการออกเอกสารข่าวระดับกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธในเรื่องนี้ ส่วน นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาลกลับนิ่งเฉยไม่ได้ดำเนินการแถลงข่าวโต้แย้งในทันทีเพียงแต่ นัดประชุมฝ่ายความมั่นคงในวันต่อมาอย่างใจเย็น
ซึ่งจากข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด สมาชิกวุฒิสภาจึงเกิดความสงสัยว่าเหตุใดนายกรัฐมนตรีไทย จึงแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการโต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเอง ให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศบึงกระทำ
จนกระทั่งผู้นำฝ่ายกัมพูชานำคลิปเสียงการสนทนามาเผยแพร่ในวันที่ 18 มิ.ย.2568 จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้สมาชิกวุฒิสภา เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีไทย นิ่งเฉย เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว แอบสนทนาแบบที่เป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่คุณลุงประธานวุฒิสภากัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย นายกรัฐมนตรีมองว่าเป็นฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือว่าพฤติการณ์ดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 50 มาตรา 52 มาตรา 161 มาตรา 164 (1)(4) และยังฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร และหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
อีกทั้งยังฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ปี 2561 ข้อ 6 ข้อ7 และข้อ 8 ประกอบข้อ 27 วรรคหนึ่งอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 13 ข้อ 15 ข้อ 16 ข้อ 17 ข้อ 19 ข้อ 21 ประกอบกับข้อ 27 วรรคสอง เพราะตามพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีเจตนาและความร้ายแรงนี้เกิดจากการกระทำดังกล่าว กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ในสภาวะสงครามและเกี่ยวกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของไทยย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง
นอกจากนี้ยังอ้างถึงการกระทำเป็นการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองปี 2564 อีกหลายข้อ จากพฤติกรรมและความผิดดังกล่าวทั้งหมดจึงถือได้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และอาจกล่าวได้ถึงขนาดว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย รวมทั้งฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง




อ่านข่าว :
"แพทองธาร" บนทางสองแพร่ง ชิงลาออก หรือ สู้รอวันพิพากษา 29 ส.ค.
วิบากกรรมกฎหมายของ “แพทองธาร” กับปลายทางที่ตีบตัน
"แพทองธาร" ตอบสื่อ "21 วันเกิดพอดี" หลังศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนคดีคลิปเสียง