หลังเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มติศาลรัฐธรรมนูญ 6:3 วินิจฉัย ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2568 จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ "ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา จนทำ "ครม.แพทองธาร" หลุดทั้งคณะด้วย ระหว่างนี้การเมืองไทยฝุ่นตลบ ประชาชนจับตา ขั้วการเมืองที่จะจับมือกันในการจัดตั้งรัฐบาล อยู่หลายวัน
กระทั่งเช้าวันที่ 3 ส.ค.2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรค แถลงมติกรรมการบริหารพรรค ที่สนับสนุน "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ภายใต้เงื่อนไข 5 ข้อ และยุบสภาภายใน 4 เดือน พร้อมทั้งจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา เป็นเวลาแห่งความไม่แน่นอน จากกระแสข่าว การยุบสภา และยังระบุถึง กรณีคลิปเสียงการสนทนาของอดีตนายกฯ นั้น พรรคประชาชนยืนยันว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ คือ การคืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วันที่ 3 ก.ย.2568
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วันที่ 3 ก.ย.2568
อ่านข่าว : พรรคประชาชนแถลงโหวต "อนุทิน" เป็นนายกฯ คนที่ 32
ก่อนที่ทิศทางการเมืองจะเริ่มชัดเจนขึ้นในวันนี้ พรรคเพื่อไทยยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องตลอดหลายวัน นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยภายหลังจากที่พรรคประชาชนมีมติสนับสนุน นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า หากประธานสภาฯบรรจุวาระการเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยพร้อมจะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯของพรรค
พร้อมกันนี้ นายสรวงศ์ ยังเปิดเผยว่า กระบวนการยุบสภามีความคืบหน้า โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการทูลเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว และต่อมาในช่วงสายของวันที่ 3 ก.ย.นายภูมิธรรมก็ยืนยันว่าได้ยื่นทูลเกล้าฯเพื่อยุบสภาฯ แล้ว
ฟากของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ปรากฏตัวเข้าสภาด้วยท่าที ยิ้มแย้ม หลังได้รับแรงหนุนจากพรรคประชาชน โดยย้ำว่าพร้อมรับทุกเงื่อนไข และหัวเราะตอบกลับกรณีพรรคเพื่อไทย บอกเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย พาประเทศไม่รอด เป็นเหตุให้ยื่นยุบสภาฯ
นายอนุทิน ยังกล่าวว่า การเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลหลังจากนี้ ตระหนักดีว่าพรรคประชาชนให้ความร่วมมือและเสียสละที่จะหาทางออกให้กับประเทศไทย โดยยืนยันว่า จะไม่ทำให้เจตนารมณ์และความเสียสละของทุกคนสูญเปล่า และจะรักษาข้อตกลงทั้ง 5 ข้อที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน ตลอดระยะเวลา 4 เดือนนับตั้งแต่เราเข้าไปทำงานในฐานะรัฐบาล

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย วันที่ 3 ก.ย.2568
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย วันที่ 3 ก.ย.2568
การยุบสภาผู้แทนราษฎร ในประเทศไทย
เรียกได้ว่า การเมืองนับวันยิ่งเข้มข้น และน่าติดตามว่า จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรี คนใหม่ คนที่ 32 อย่างไรก็ตาม ตามกระบวนการที่จะนำไปสู่การได้นายกฯคนที่ 32 ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ คือ หากการยุบสภาฯมีผลในเร็ววันนี้ ก็จะนำไปสู่การเข้าสู่โหมดเลือกตั้งและเลือกนายกฯคนที่ 32 ซึ่งเวลาจะทอดยาวออกไปอีกหลายเดือน
ขณะที่อีกเส้นทางคือ หากสภาฯเปิดให้โหวตนายกฯ และ มีรัฐบาลนายอนุทิน ซึ่งหากทำตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนก็จะนำไปสู่การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ภายใน 4 เดือน จึงจะนำไปสู่การเลือกตั้งและมีนายกฯคนที่ 33 ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การยุบสภาฯ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญทางการเมืองตามกระบวนการประชาธิปไตยที่รัฐบาลสามารถกระทำได้ แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎร มีความหมายอย่างไร

คำว่า "การยุบสภา" เป็นศัพท์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญมิได้มีการบัญญัติบทนิยามไว้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ดังนี้ (รัฐสภา : การยุบสภาผู้แทนราษฎร : ดุลยภาพแห่งอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัต)
ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม ให้ความหมายว่า "การยุบสภา" หมายถึง การที่ประมุขของรัฐโดยคำแนะนำของฝ่ายบริหารประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงพร้อมกันก่อนครบวาระ
อุทัย หิรัญโต ให้ความหมายว่า "การยุบสภา" คือ การกระทำโดยอำนาจของประมุขแห่งรัฐ ให้สภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงก่อนหมดอายุตามปกติที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ข้อมูลรัฐสภา : เรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร อธิบายว่า "การยุบสภา" คือ การที่ประมุขแห่งรัฐโดยได้รับ การแนะนำจากหัวหน้ารัฐบาลได้ประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงพร้อมกัน ก่อนถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
หากให้เข้าใจมากขึ้น อาจสรุปได้ว่า "การยุบสภาฯ" คือ การยุติสภาพความเป็นสมาชิกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมดก่อนครบวาระ 4 ปี ผลที่ตามมาคือ สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง สส. และตำแหน่งประธานสภาฯ พ้นจากตำแหน่ง และต้องจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วัน เพื่อเลือกตั้ง สส. ชุดใหม่
การยุบสภามักเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลเผชิญวิกฤตการเมือง เช่น ความขัดแย้งในสภาที่ไม่สามารถบริหารงานต่อได้ การสูญเสียเสียงข้างมาก หรือเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งใหม่
กรณีนายกฯประกาศยุบสภา จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในมาตรา 103 บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการยุบสภาไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่การเลือกตั้งทั่วไป การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ภายใน 5 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภา เขียนไว้ในมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยระบุ "พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน
ภายใน 5 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรค 1 ใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร"

ในประเด็นนี้ iLaw อธิบายเพิ่มเพิ่มเติมไว้ว่า มาตรานี้เขียนไว้ในเชิงอธิบายถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประเพณีในการเขียนกฎหมายอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ริเริ่มการยุบสภาได้เองเลย ในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาที่มีรายละเอียดครบถ้วนขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น
มาตรา 103 ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ไว้ว่า การยุบสภาสามารถทำได้ในกรณีใดบ้าง และไม่ได้เขียนไว้ว่า การยุบสภาจะต้องทำโดยนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม หรือผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะทำได้หรือไม่ แต่กำหนดเพียงว่า "พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ" ดังนั้น หากมีการทูลเกล้าฯ และพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้ว ในทางกฎหมายข้อถกเถียงเรื่องว่า "ยุบสภาได้หรือไม่" ก็จะหมดลง
ประเทศไทยมีการยุบสภาฯ มาแล้ว 14 ครั้ง
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกลไกหนึ่งของฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภาไทย ซึ่งแม้จะมีการแบ่งแยกอำนาจเป็น 3 ฝ่าย แต่ไม่ได้แยกอย่างเด็ดขาด เพื่อให้สามารถถ่วงดุลและควบคุมกันได้ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในทางกลับกัน ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อควบคุมหรือแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
การยุบสภายังเป็นการคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งต้องโปร่งใสและยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าใครควรเป็นผู้แทนในการใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนตน
การยุบสภาผู้แทนราษฎรของไทย ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย (ตั้งแต่ พ.ศ. 2481 - 2566) การยุบสภาผู้แทนราษฎร มีทั้งหมด 14 ครั้ง พบว่าสาเหตุสามารถจำแนกออกเป็น 4 หมวดสำคัญ โดย คลังสารสนเทศรัฐสภา ได้อธิบายไว้ดังนี้
1. แพ้มติ/ไม่มีเสถียรภาพ (7 ครั้ง)
ถือเป็นสาเหตุหลักที่พบมากที่สุดในการยุบสภา สะท้อนถึงปัญหาการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมเสียงในสภาได้ หรือเกิดความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลไร้เสถียรภาพในการบริหารงานหรือถูกบีบให้ยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาความชอบธรรม
- ปี 2481, 2519, 2529, 2531, 2538, 2539, 2554
- เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ
2. ความขัดแย้งด้านนโยบายหรือร่างกฎหมาย (3 ครั้ง)
เกิดจากการผลักดันนโยบายที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานทางนิติธรรม หรือสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การนิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือร่างกฎหมายที่มีผลกระทบย้อนหลัง
- ปี 2488, 2526, 2556
- ความพยายามออกกฎหมายที่ไม่ผ่านฉันทามติสังคม อาจกลายเป็นชนวนของวิกฤติทางการเมือง
3. วิกฤตการเมือง/เศรษฐกิจ และการชุมนุม (3 ครั้ง)
แม้จะพบไม่บ่อยเท่าสาเหตุอื่น แต่การชุมนุมใหญ่หรือวิกฤติเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาล มักนำไปสู่การเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
- ปี 2535, 2549, 2556
- เมื่อแรงกดดันจากภาคประชาชนถึงจุดสูงสุด รัฐบาลอาจจำเป็นต้องใช้การยุบสภาเป็นทางออก
4. กลยุทธ์ทางการเมือง (1 ครั้ง)
กรณีล่าสุด (ปี 2566) เป็นการยุบสภาด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครย้ายพรรคได้ภายในกรอบเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นการจัดวางจังหวะทางการเมืองให้สอดรับกับเงื่อนไขทางกฎหมาย
- ปี 2566
- การยุบสภาอาจไม่ได้เกิดจากปัญหา แต่เกิดจากการวางกลยุทธ์เพื่อความได้เปรียบในการเลือกตั้ง

ตัวอย่างการยุบสภาที่สำคัญ
พ.ศ. 2519 - รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยุบสภาเพื่อหนีญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ
พ.ศ. 2526 และ 2529 - รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ยุบสภาหลังไม่สามารถผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและพระราชกำหนดได้
พ.ศ. 2549 - รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภาหลังเผชิญการชุมนุมประท้วงจากกลุ่มที่ไม่พอใจการบริหาร
พ.ศ. 2554 และ 2556 - รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภาเพื่อแก้ไขวิกฤตการชุมนุมทางการเมือง
พ.ศ. 2566 - รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุบสภาก่อนครบวาระเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาในประเทศไทยมักเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะแก้ไขในสภา หรือเมื่อต้องการใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือคลายความตึงเครียดทางการเมือง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การณ์เมืองในประเทศไทยยังคงต้องติดตามกันแบบเกาะติด เพราะเรียกได้ว่า นับวันยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
อ้างอิงข้อมูล : รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560, iLaw, คลังสารสนเทศรัฐสภา, การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย
อ่านข่าว : “สรวงศ์” เผย “ภูมิธรรม” ทูลเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว อ้าง "เพื่อไทย" ไปต่อไม่ได้
"Focus Friend" น้องถั่วถักนิตติ้ง ตัวช่วยใหม่แก้ไถฟีดไร้จุดหมาย
แท็กที่เกี่ยวข้อง: