ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

MFLF Sustainability Forum 2025 เสวนา "วิกฤตโลก  ทางออกไทย" 

MFLF Sustainability Forum 2025 เสวนา "วิกฤตโลก  ทางออกไทย" 
อ่านให้ฟัง
19:03อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025  ภายใต้แนวคิด "วิกฤตโลก ทางออกไทย" (Global Challenges, Local Solutions at Scale) ระดมความคิดหาทางออกเพื่อยั่งยืน

เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2568 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน  MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด "วิกฤตโลก ทางออกไทย"(Global Challenges, Local Solutions at Scale) โดยมี ผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนเข้าร่วมงาน ณ  ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

งานในปีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนปัญหาที่ไทยและโลกกำลังเผชิญ แต่ยังเป็นพื้นที่ระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤต "สิ่งแวดล้อม" และ "เศรษฐกิจโลก" ผ่านการผสานความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวบนเวทีว่า โลกและไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การค้า และกฎระเบียบสากลที่เข้มขึ้น ขณะเดียวกัน วิกฤตสิ่งแวดล้อม เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่ทั่วโลก กดดันเศรษฐกิจฐานรากของไทย แม้ป่าไม้ในประเทศลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุกจะปรับตัวไม่ทัน

รายงาน IPCC ยังย้ำว่าการดำเนินงานด้านการเงินและการเชื่อมโยงชุมชนยังไม่พอ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยยกมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงให้เห็นเป็นกรณีศึกษาว่า การอนุรักษ์ต้องควบคู่การใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลลัพธ์อย่างเป็นธรรม ด้านการค้า มาตรการ CBAM และ EUDR ของสหภาพยุโรปจะกระทบสินค้าส่งออกและรายได้ของประเทศ 

ขณะที่ ตลาดคาร์บอนในไทยยังอ่อน จำเป็นต้องเชื่อมโยง T-VER กับภาคบังคับ และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป้าหมายสำคัญคือสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ออกกฎหมายและกองทุนภูมิอากาศเชื่อมตลาดคาร์บอนกับภาคบังคับ และกระจายประโยชน์สู่ประชาชนให้ไทยก้าวสู่ Net Zero 2050 ได้อย่างมั่นคง

ด้าน หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เน้นย้ำถึงบทบาทของชุมชนว่าเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน  โดยชี้ให้เห็นว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในปีนี้ เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงานหนักและความร่วมมือของชุมชน พร้อมเน้นว่าการอนุรักษ์และการป้องกันจะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน

ประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการขับเคลื่อนต่อไปว่า BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ การทำงานต่อไปต้องลงลึกกว่าการทำงานแบบเดิม และไม่มองเพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ต้องครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม รวมถึงเรื่อง Well-Being ซึ่งมีธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย

นอกจากนี้ควรคว้าโอกาสจากปัญหา พร้อมหรือยังที่จะลงทุนด้าน nature credits เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง อย่างโครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนแสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน รวมถึงต้องมองระยะยาวแบบข้ามรุ่น เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เพียง 10–15 ปี แต่ต้องมองไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน

และต้องหากฎเกณฑ์ใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนาที่ควรเป็นของชุมชน โดยภาคการเกษตรคือหัวใจ หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคการเกษตรจะสามารถสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง เนื่องจาก Supply Chain ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในประเทศ และทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึง Cost of action และ Cost of inaction ว่าการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร

วิกฤตโลก ทางออกไทย 

ต่อจากนั้นเป็นการเสวนาหลัก 3 ช่วง โดยช่วงแรก คือ "วิกฤตโลก ทางออกไทย" มีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคือ นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่  ธนาคารกสิกรไทย และ ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โดยสะท้อนภาพรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนหลายคนมองว่าการขับเคลื่อนความยั่งยืนขัดกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เนื้อหาในการพูดคุยชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากเกิดการ “รีบาลานซ์” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวเพื่อสร้าง S curve ใหม่ ลดต้นทุนของการไม่ทำ และใช้กลไก Public Private Partnership (PPP) กับระบบนิเวศที่เอื้อให้ภาคธุรกิจและชุมชนมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเน้นว่าการบริหารจัดการทรัพยากรควรเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ชุมชน คิดเชิงป้องกันมากกว่ารอแก้ไข และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติกว้าง ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ช่วงหนึ่ง ดร.กรินทร์ กล่าวว่า ภาคการเงินต้องทำงานทั้ง ecosystem ตั้งแต่การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อช่วยธุรกิจเปลี่ยนผ่าน ไปจนถึงการปลดล็อคเงินทุนสู่ความยั่งยืน เริ่มจากเปลี่ยนวิธีคิดการเติบโต แบบสมการเดิมที่สร้างเศรษฐกิจ โดยใช้ต้นทุนจากพลังงาน ทุนมนุษย์ และธรรมชาติ มาป้อนให้เศรษฐกิจเติบโต ไปเป็นการใช้ระบบเศรษฐกิจเป็นกลไกที่ทำให้ภาคพลังงานยั่งยืน แก้ปัญหาของคน และรักษา/ฟื้นฟูธรรมชาติ

นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า ทุกภาคส่วนต้องทำให้ความยั่งยืนเป็นวาระหลัก ที่ปฏิบัติได้ไปจนถึงระดับบุคคล ต้องมอง long-term แต่ create short-term impact ให้ได้ ภาคนโยบายต้องทำให้เรื่องเศรษฐกิจกับความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน หากไม่เปลี่ยนผ่าน เศรษฐกิจเดิมไม่โต เศรษฐกิจใหม่ที่มีความยั่งยืนเป็นหัวใจก็เกิดไม่ได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ GDP ที่โตขึ้นต้องไปแก้ปัญหา

2.ภาคตลาด ต้องมองว่าการเติบโตในยุคต่อไปเป็นการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม และถ้าทำเรื่องความยั่งยืนแล้ว ธุรกิจต้องได้เงินด้วย 3.ภาคประชาชน เปลี่ยนวิถีชีวิตในทุกวัน ทำเล็กๆ และทำทุกๆ วัน

นอกจากนี้ยังชูภาคเกษตรเป็นทางออกให้ประเทศ โดยพัฒนาตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เน้นที่การพัฒนาคนตลอดห่วงโซ่คุณค่าให้เข้าใจ ใช้ประโยชน์ และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจะตอบโจทย์การกระจายประโยชน์ลงไปถึงชุมชนด้วย

ขณะที่ ดร.สุภัชญา กล่าวว่า ความเสี่ยงทุกวันนี้เรายังโฟกัสกันแต่ภัยพิบัติ อยากให้เราให้ความสำคัญกับความเสี่ยง slow onset เช่น อากาศที่ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผลผลิตตกต่ำ ปัญหาสุขภาพที่ตามมาด้วย เพราะมันจะส่งผลต่อประชาชนจำนวนมาก เพราะหากไม่ทำอะไรเลย ค่าใช้จ่ายอาจจะเกินกว่าที่เรารับมือไหว

กุญแจสู่การอยู่รอดของคน และธรรมชาติ

ช่วงที่ 2 "กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ" มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) นายทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) นายนิรันดร์ นิรันดร์นุต

Country Project Manager, UNDP BIOFIN และนายสมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผู้เสวนาย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ รวมถึงความจำเป็นของคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในฐานะตัวเชื่อมมนุษย์ คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม จึงต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวที่ไม่ใช่เพียงเป็นป่าไม้ แต่เป็นพื้นที่เขียวที่มีระบบนิเวศน์สมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าชุมชนที่สอดคล้องกับ SDGs และเป้าหมาย Net Zero

ในขณะเดียวกัน การลงทุนนวัตกรรมทางการเงิน เช่น blended finance และการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน จะเปิดโอกาสสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งลดก๊าซเรือนกระจก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับชีวิตชุมชน พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจผนวกประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์สร้างมูลค่า โครงการป่าชุมชนจึงถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จของคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานสูงและการมีส่วนร่วมของชุมชน และยังเป็นสะพานไปสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ๆเช่น biodiversity credit และ nature credit ที่กระจายโอกาสการพัฒนาไปยังพื้นที่ชนบท ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนกลายเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจ และกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติก็คือการรักษา และเพิ่มปริมาณความหลากหลายทางชีวภาพที่โลกกำลังสูญเสียไปอย่างมากให้กลับคืนมาเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่นต่อๆไป เพราะถ้าคนไม่รอด ป่าไม่รอด ธุรกิจก็ไม่รอด

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กล่าวว่า กลไกคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยจะต้องมีการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ โดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เริ่มขับเคลื่อนการทำให้มาตรฐาน T-VER ได้รับการยอมรับตามหลักเกณฑ์ของ CORSIA รวมทั้งปัจจุบันได้ผลักดันให้การถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตข้ามประเทศทำได้ง่ายขึ้น จากเดิมซึ่งต้องได้รับการอนุมัติในระดับคณะรัฐมนตรีมาเป็นระดับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นิรันดร์ นิรันดร์นุต Country Project Manager, UNDP Biodiversity Finance Initiative (BIOFIN)
กล่าวว่า ในการทำงานด้านความยั่งยืน 1) ผู้นำชุมชน รัฐบาลทั้งในระดับท้องถิ่นและประเทศ ต้องหาเครื่องมือที่จะสร้างรายได้ให้ยั่งยืน เพื่อมีทุนมาเติมให้ผู้ทำงานสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้ 2) ต้องปิดช่องทางการทำโครงการที่สร้างผลกระทบต่อพื้นที่เปราะบางด้านความหลายหลายทางชีวภาพ เช่น การสร้างสิ่งก่อสร้าง 3) ใช้เงินทุนจากทุกภาคส่วนเพื่อโฟกัสไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การ finance SDGs 4) เมื่อมีเงินทุนแล้ว ต้องทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด

ทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือภายในประเทศไม่พอ ต้องพาประเทศไทยไปเวทีระหว่างประเทศ ผลักดันให้ประเทศเป็นหัวหอกด้านความยั่งยืนใน ASEAN เช่น การสร้างมาตรฐานคาร์บอนเครดิตระดับ ASEAN และต้องทำให้เรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน เพราะหากเราไม่บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน พวกเราทุกคนต่างมีราคาที่ต้องจ่าย

สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า
งานด้านความยั่งยืนเป็นงานกลุ่มของทุกคน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ทุกฝ่ายต้องดำเนินการร่วมกัน จากประสบการณ์ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เราได้ข้อสรุปสองประการ 1) ต้องมีชุมชนในสมการ การตอบโจทย์ว่าชาวบ้านได้อะไร เป็นหัวใจของการอนุรักษ์ป่าในประเทศไทย 2) กลไกการเงินต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งภาคเอกชนที่สนับสนุนหรือลงทุนในโครงการ และชุมชนที่เป็นผู้ดำเนินโครงการ

กุญแจสู่การอยู่รอดของคน และธรรมชาติ 

ช่วงที่ 3 มีนายวิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชน  จ.เชียงใหม่ นายทอน ใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และตัวแทนภาคธุรกิจ ไพบูล ตันกูล  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หุ้นส่วนและกรรมการบริษัท PwC Thailand ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของชุมชนที่ร่วมโครงการป่าชุมชน โดยย้ำว่าการดูแลป่าอย่างเป็นระบบช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันในทุกมิติ ชุมชนทั้งที่แม่โป่งและบ้านปี้มีคณะกรรมการและชาวบ้านทุกช่วงวัยร่วมกันวางกฎระเบียบ ใช้ประโยชน์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน จัดการแหล่งน้ำและเชื้อเพลิง ลดไฟป่า และต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น ทำจานใบไม้ ไม้กวาด น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชนจนเกิดกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่เป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนอื่น

ด้านภาคเอกชนมองว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการตรวจติดตามการเงิน เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ทอน ใจดี ประธานป่าชุมชน จังหวัดพะเยา กล่าวว่าชุมชนทางภาคเหนืออยู่ร่วมกับป่าอยู่แล้ว ในการดูแลรักษาป่าก็จะช่วยกันดูแล เมื่อมีโครงการคาร์บอนเครดิตเข้ามา ชุมชนได้รับการสนุนให้ดูแลผืนป่ากว่า 945 ไร่ ได้คาร์บอนเครดิต 11,000 ตัน หรือ 4 ตัน/ไร่/ปี ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินสนับสนุนที่ช่วยให้ชุมชนสามารถดูแลป่าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงกองทุนพัฒนาอาชีพที่เป็นหนึ่งในกลไกของโครงการคาร์บอนเครดิตของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ก็ช่วยพัฒนาเรื่องงานจักรสานของกลุ่มผู้หญิงและผู้สูงอายุ ทำให้มีรายได้เกินเกณฑ์ 20,000 บาท เรียบร้อยแล้ว

ส่งมอบคาร์บอนเครดิต  43,123 ตัน 

อีกวาระสำคัญภายในงาน คือพิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจาก 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน

และตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่มูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมพร้อมส่งเสริมศักยภาพชุมชนในการรักษาป่าและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า ตลอดจนการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

การจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแห่งปีในการระดมความคิดและ ความร่วมมือ และร่วมหาทางออกด้านความยั่งยืน แต่ยังสะท้อนพันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่จะยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน โดยมีทั้งเวทีนี้และกิจกรรมอื่นๆ เป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร และประเทศ

อ่านข่าว : NATO-EU ประณามรัสเซีย ส่งเครื่องบินรบรุกล้ำน่านฟ้าเอสโตเนีย 12 นาที

ราคา“ทองคำ” บวก 550 บาท “ทองแท่ง” ทะลุบาทละ 56,450

นักสิ่งแวดล้อมชี้ ขุดลอก “เวียงหนองหล่ม” ทำลายระบบนิเวศพื้นชุ่มน้ำ