เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2568 สมาคมพิทักษ์อุทยานแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NPCA ออกแถลงการณ์ด่วน เตือนผลกระทบจากการชัตดาวน์รัฐบาลที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าแผนรับมือของฝ่ายบริหารภายใต้รัฐบาลทรัมป์คือการเปิดประตูอุทยานให้ประชาชนเข้าชมได้ แต่แทบไม่มีเจ้าหน้าที่เหลืออยู่ ทำให้อุทยานกว่า 433 แห่งทั่วประเทศตกอยู่ในสภาพ "เปิดแต่ไร้คนดูแล" ซึ่งเป็นทั้งความเสี่ยงต่อทรัพยากรธรรมชาติและนักท่องเที่ยว
เทเรซา เพียร์โน ประธานและซีอีโอของ NPCA วิจารณ์อย่างหนักว่า การเปิดอุทยานโดยไม่เหลือเจ้าหน้าที่คอยดูแล ถือเป็นการกระทำที่ "ไม่เพียงแค่ไร้ความรับผิดชอบ แต่ยังอันตรายอย่างยิ่ง" พร้อมย้ำว่าในทุกวัน ที่การชัตดาวน์ยังดำเนินอยู่ อุทยานจะสูญเสียรายได้ค่าธรรมเนียมถึงวันละ 1,000,000 ดอลลาร์ และชุมชนรอบข้างที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจะสูญเสียเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 80 ล้านดอลลาร์/วัน
ตัวอย่างความเสียหายจากการชัตดาวน์ครั้งก่อนในปี 2561-2562 ถูกยกมาเตือนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนหินโบราณที่บิ๊กเบนด์ถูกทำลาย ต้นโจชัวในอุทยานโจชัวทรีที่ใช้เวลานับร้อยปีในการเติบโตถูกโค่นทิ้ง ปัญหาสุขอนามัยที่เดธแวลลีย์จากการปิดห้องน้ำจนขยะและสิ่งปฏิกูลล้น และการลักลอบขับรถออฟโรดที่ทำลายภูมิทัศน์ธรรมชาติ ตลอดจนปัญหาขยะและสิ่งปฏิกูลที่รุนแรงในอุทยานซีคัวยาและคิงส์แคนยอนจนต้องปิดพื้นที่ชั่วคราว
นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่อุทยานนับพันที่ถูกพักงานและไม่ได้รับค่าจ้าง หลายคนไม่มั่นใจว่าจะยังมีงานกลับไปทำได้หรือไม่ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติสูญเสียพนักงานประจำไปแล้วกว่าร้อยละ 24 ทำให้หลายพื้นที่ต้องตัดงบ ตัดโปรแกรมการดูแล ตัดกิจกรรมการให้ความรู้ ปิดศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และเลื่อนงานวิจัยสำคัญออกไปเพราะขาดคนทำงาน
NPCA จึงเรียกร้องให้สภาคองเกรสรีบผ่านร่างงบประมาณฉุกเฉินเพื่อให้อุทยานเปิดเต็มรูปแบบโดยเร็ว พร้อมกดดันให้วุฒิสภาผ่านร่างงบกระทรวงมหาดไทยเพื่อป้องกันไม่ให้มีการตัดคนงานเพิ่มอีก เพียร์โนสรุปชัดว่าหากปล่อยให้การลดคนงานดำเนินต่อไป นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับอุทยานแห่งชาติสหรัฐฯ
อ่านข่าวอื่น :
โดรนปริศนาบุกมิวนิก สนามบินสั่งปิดฉุกเฉิน ยกเลิกบิน 17 เที่ยว
ทภ.1 เลื่อนถก RBC หากกัมพูชาไร้แผนย้ายคนพ้นชายแดนสระแก้ว