วันนี้ (27 ต.ค.2568) นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU2543 และ MOU2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และกรรมาธิการร่วมแถลงผลความคืบหน้าในการพิจารณาศึกษา หลังได้รายงานต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า
มีการพิจารณา 2 กรอบใหญ่ 1.การได้มาซึ่ง MOU ทั้ง 2 ฉบับ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และระเบียบหรือไม่ และ 2.เนื้อหาสามารถปฏิบัติได้จริงและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่
นายนพดล ยังได้ไล่เลียงเนื้อหา MOU 2543 ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และรายงานถึงคณะกรรมการที่เกิดขึ้นก่อน MOU 2543 เช่น GRC RBC หรือ JBC ซึ่งจะมีคณะกรรมการหรือไม่ก็ยังมี MOU อยู่ ส่วนการประกันเขตแดนตั้งแต่ปี 1904 และ 1907 มีการปักปันเขตแดนในอดีตเพื่อหารายละเอียด เนื่องจากบางหลักถูกทำลายสูญหาย คณะกรรมการที่เกิดขึ้นจาก MOU ดำเนินการให้สอดคล้องกับการปักปันเขตแดน
นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ส่วน MOU 2544 ได้เรียนต่อที่ประชุม และการลงพื้นที่ จ.ตราด ที่พบการละเมิดของฝั่งกัมพูชาทั้งทางบกและทางทะเล เนื่องจากเรื่องนี้ที่เกิดมานาน มีข้อมูลจำนวนมากและมีความซับซ้อน กรรมาธิการจึงต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกระยะหนึ่ง เพราะว่าการตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ
"การตัดสินใจในเรื่อง MOU 2543 และ MOU 2544 นั้นเราจะต้องดูให้รอบคอบ รอบด้าน โดยไม่มีอคติ ไม่ใช้อารมณ์ใช้แต่ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจในเรื่องนี้ การที่จะคงอยู่หรือจะปรับปรุง หรือ ยกเลิก ต้องมีเหตุผลมีแนวทางให้กับรัฐบาลในการดำเนินการต่อไป” นายนพดลกล่าว
นายนพดล ระบุว่า สมมติว่าจะยกเลิกเนื่องจาก MOU มีการรายงานว่า เป็นสนธิสัญญา จากการรายงานของกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศว่าจะปรับปรุงหรือยกเลิกเป็นไปตามข้อกฎหมายระหว่างประเทศข้อใด ใช้เหตุผลใด ในการดำเนินการ หรือการยกเลิกปรับปรุงนั้นจะต้องมีสาเหตุอะไร
และชี้แจงถึงกรอบทำงานที่มีเวลา 90 วัน และการขอขยายระยะเวลาส่วนใหญ่ขอขยายเวลา 90 วัน หากดำเนินการเสร็จก่อน ก็จะรายงานต่อวุฒิสภาทันที และจากวันนี้เป็นต้นไปกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้จะให้ข้อมูลผ่านสื่อมวลชนไปถึงประชาชนเพื่อให้ทราบถึงที่มาที่ไปและความเป็นมา ทั้งข้อดีและข้อเสียของ MOU ทั้ง 2 ฉบับเป็นระยะ ๆ
นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
นายนพดล ระบุว่า ยังชี้แจงว่า ก่อนที่จะถึงการทำประชามติข้อมูลที่ได้จากกรรมาธิการของวุฒิสภาชุดนี้ จะมีรายละเอียดมากพอสมควร และในเนื้อหาเชื่อว่า เมื่อประชาชนทำความเข้าใจ จะเกิดความเข้าใจมากขึ้นนำไปสู่การตัดสินใจได้ว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับ ควรจะคงอยู่หรือไม่หรือควรปรับปรุง
พร้อมกล่าวชื่นชมรัฐบาลนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ที่ลงนามปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย เพราะในปฏิญญามีความชัดเจนที่ระบุว่า จะต้องดำเนินการปักปันหลักเขตแดนซึ่งเชื่อมโยงกับ MOU 2543 ดังนั้นในการลงนามดังกล่าวเป็นเรื่องสามารถดำเนินการเพื่อเกิดความสงบสุขและสันติภาพทั้ง 2 ประเทศ
“เพราะไทยและกัมพูชามีเขตแดนติดกัน 798 กม.เราไม่สามารถที่จะย้ายประเทศใดประเทศหนึ่งหนีไปได้ ไม่ช้าหรือเร็วเราก็ต้องมีความสงบสุขหรือสันติภาพเกิดขึ้น เมื่อไหร่ อย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่งแต่ปฏิญญาสันติภาพที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (26 ต.ค.68) ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะเกิดขึ้น ในส่วนของ MOU คิดว่าหลังจากนี้ที่มีการลงนามปฏิญญาเชื่อว่ากัมพูชาจะละเมิดยากขึ้น เพราะนี่คือปฏิญญาที่ปรากฏต่อมหาอำนาจของโลก คือ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และประเทศอาเซียน 61 ประเทศซึ่งเป็นสักขีพยานโดยปริยายในที่ประชุม” นายนพดลกล่าว
นายนพดล ระบุต่อว่า ในเวทีสหภาพรัฐสภาโลก (IPU) ซึ่งถือว่า ประเทศไทยเป็นพระเอกในเวทีโลกสามารถเสนอวาระเร่งด่วนเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ทำให้กัมพูชาไม่สามารถกล่าวหาประเทศไทยได้อย่างที่ตั้งใจ และจากการลงนามปฏิญญาเมื่อวานนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยแล้ว ยังเป็นประโยชน์ในเรื่องของภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก เพราะเรามักพูดเสมอว่าต้องการสันติภาพและความสงบไม่ต้องการการสู้รบ
นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้สังคมโลกได้เห็นว่า สิ่งที่ไทยพูดและทำเป็นสิ่งเดียวกัน และเห็นว่าการลงนามในปฏิญญาไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอะไร แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยกเลิก MOU หรือไม่เพราะข้อมูลยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ นายนพดล อินนา เห็นด้วยหากจะมีการจัดเวทีดีเบต หรือ เวทีเสวนาให้ความรู้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ MOU ทั้ง 2 ฉบับ ก่อนที่จะถึงวันทำประชามติตามนโยบายของรัฐบาล และไม่กังวลว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นความขัดแย้งของคนภายในประเทศ พร้อมยกตัวอย่างกรณีการทำประชามติของอังกฤษเรื่องการออกจาก EU มาชี้เห็น และด้วยการชี้แจงทำความเข้าใจและระบอบประชาธิปไตย ทำให้ผลประชามติสามารถผ่านไปได้ด้วยดี
สภา ถก.MOU
นอกจากนี้ นายคำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะกรรมาธิการฯ กล่าวประเด็นที่มีความชัดเจนทางข้อกฎหมาย คือ การทำ MOU ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือไม่ ซึ่งถือได้ว่า MOU เป็นสนธิสัญญา และจากการตรวจสอบในรายละเอียดของที่มาของ MOU 2543 จะพบว่า มีความสุ่มเสี่ยงที่จะขัดกับรัฐธรรมนูญ ระเบียบสำนักนายกฯ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และขัดกับบันทึกการประชุม JBC ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2543 เนื่องจากมีข้อกำหนดต่อกระบวนการจัดทำ MOU 2543 ที่ต้องส่งให้ ครม.เห็นชอบ แต่การตรวจสอบไม่พบว่า มีการเสนอให้ ครม.เห็นชอบ มีเพียงการเสนอให้รับทราบเท่านั้น ทั้งที่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดบทบัญญัติไว้ชัดเจน รวมไปถึงบันทึกการประชุม JBC ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2543 ที่ระบุว่า เมื่อจะทำ MOU ทั้ง 2 ฝ่ายจะเสนอ MOU ต่อรัฐบาลของตนเพื่อขอความเห็นชอบ
การตรวจสอบเรื่องนี้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 วรรคแรก กำหนดไว้ว่า ครม.ต้องเห็นชอบ แต่ที่ผ่านมาพบว่า มีเพียงเสนอให้รับทราบ ดังนั้นกลัวจะเป็นปัญหาว่าขัดกับกฎหมาย หรือไม่สมบูรณ์ ตามกฎหมาย ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องเสนอรายงานเบื้องต้นนี้ ไปยัง ครม.ให้พิจารณาว่าจะดำเนินการยืนยัน ทบทวน หรือ โต้แย้งความเห็นของ กมธ.ต่อไป
นายคำนูณ ชี้แจงต่อว่า ปัจจุบันมีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ หาก ครม.เห็นว่า เรื่องนี้สำคัญต้องหาคำตอบเบื้องต้น ครม.อาจตั้งคำถามไปยังกฤษฎีกาและนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดไปให้พิจารณาว่า มีความสมบูรณ์ ถูกต้อง หรือบกพร่องหรือไม่ ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ครม.สามารถแก้ไข ปรับปรุง หรือ ตัดสินใจได้
ขณะที่ MOU 2544 กมธ.ได้ตรวจสอบในประเด็นเดียวกัน พบว่าค่อนข้างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไม่เหมือนกับ MOU 2543 ที่สุ่มเสี่ยงขัดกับรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ หลังการรายงานผลการพิจารณาเบื้องต้น กมธ.ได้เสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบขยายเวลาการพิจารณาศึกษา ออกไปเป็นกรณีพิเศษ อีก 90 วัน เนื่องจากมีความละเอียดซับซ้อน มีผลกระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
อย่างไรก็ดีนายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สว. ฐานะ กมธ.การต่างประเทศ วุฒิสภา คัดค้านการขยายเวลาดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนกับ กมธ.สามัญ เช่น กมธ.การต่างประเทศ ที่ได้ศึกษาเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ทำเรื่องดังกล่าวในชั้นของสภาฯ ด้วย
ขณะที่ น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว.อภิปรายสนับสนุนให้ขยายเวลาดังกล่าว เนื่องจากมองว่า กมธ.ควรมีข้อเสนอที่ตรงประเด็นในรายละเอียดที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่เขตแดนทางทะเลที่ทับซ้อน บริเวณเกาะกูด จ.ตราด
ส่วนนายเดชา นุตาลัย สว.เสนอความเห็นตอนหนึ่งว่า ตนไม่ติดใจว่าจะขยายเวลาศึกษาหรือไม่ แต่ใน MOU 2543 มีถ้อยคำที่ระบุ ตอนหนึ่งว่ามีความสัมพันธ์อันดี อย่างเป็นมิตรไมตรีดีต่อกัน แต่ขณะนี้ไม่ได้ดีต่อกันแล้ว ในทางกฎหมายเหมือนว่า ควรตกไปได้แล้ว
ก่อนที่จะมีการลงมติตัดสิน นายปริญญา กล่าวว่า ไม่ติดใจ และถือว่าให้เป็นข้อสังเกตต่อ กมธ.เพื่อศึกษาต่อไป ทำให้ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ฐานะประธานในที่ประชุม ได้กล่าวว่า ถือว่ามติที่ประชุมเห็นชอบให้ขยายเวลา
อย่างไรก็ดีการดำเนินการขณะนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และรมว.มหาดไทย ได้ลงนามข้อตกลงขั้นต้นไปแล้ว และมีท่าทีต่าง ๆ ของกัมพูชา ทั้งนี้เรื่อง MOU 2543 และ MOU 2544 นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต่อการเสียดินแดน
อ่านข่าว : จับตาประชุม JBC แก้ปัญหา "หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว" คปท.รวมตัวคัดค้าน
"อนุทิน" ถึงไทย หลังร่วมลงนามปฏิญญาไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย
เปิดถ้อยแถลงผลพบหารือ "อนุทิน-ฮุน มาเนต" ลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา











