เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2568 Reuters เปิดเผย เอกสารภายภายในของ Meta แสดงให้เห็นถึงความจริงอันน่าตกใจของโลกโซเชียลในยุคปัจจุบัน เมื่อยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้มีรายได้จำนวนมหาศาลจากโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวงหรือผิดกฎหมาย
รายงานระบุว่า Meta ประเมินรายได้จากโฆษณาหลอกลวงในปี 2567 สูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 592,000 ล้านบาทไทย คิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของรายได้รวมทั้งปี โดยโฆษณาเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการลงทุนปลอม การพนันออนไลน์ ยาแบบผิดกฎหมาย และสินค้าต้องห้าม ที่แพร่กระจายบน Facebook, Instagram และ WhatsApp
ยิ่งไปกว่านั้น เอกสารยังเผยว่า ผู้ใช้แพลตฟอร์มของ Meta ต้องเผชิญกับการเห็นโฆษณาหลอกลวงมากถึง 15,000 ล้านรายการต่อวัน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม "ความเสี่ยงสูง" (High Risk Ads) แต่ระบบตรวจสอบของบริษัทกลับไม่สามารถจัดการได้อย่างทั่วถึง
แม้ระบบอัตโนมัติของ Meta จะสามารถตรวจพบผู้ลงโฆษณาที่น่าสงสัยได้ แต่บริษัทจะสั่งแบนเฉพาะกรณีที่มั่นใจมากกว่าร้อยละ 95 ว่าเป็นมิจฉาชีพจริง ส่วนผู้ลงโฆษณาที่อยู่ในกลุ่ม "น่าสงสัยแต่ยังไม่แน่ชัด" บริษัทกลับเลือกวิธีคิดค่าโฆษณาที่แพงขึ้น แทนที่จะลบออกจากระบบ นโยบายนี้เรียกว่า "Penalty Bids" ซึ่งเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากผู้ต้องสงสัย แทนการจัดการโดยตรง
ผลลัพธ์คือ Meta ยังคงรับรายได้จากโฆษณาหลอกลวงมากถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 259,000 ล้านบาทต่อปี แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเตือนว่า นี่คือรายได้จากการทำธุรกิจร่วมกับอาชญากรรมทางออนไลน์ อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของ Meta เผยกับ Reuters ว่า หากรัฐบาลไม่ยอมให้ธนาคารทำกำไรจากการฟอกเงิน ก็ควรไม่ยอมให้บริษัทเทคโนโลยีทำกำไรจากการฉ้อโกงเช่นกัน
ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศเริ่มเคลื่อนไหว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) อยู่ระหว่างการสอบสวน Meta เรื่องโฆษณาการลงทุนปลอม ส่วนหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรระบุว่า ในปี 2566 กว่าร้อยละ 54 ของความเสียหายจากการฉ้อโกงออนไลน์ในประเทศ มีต้นตอจากแพลตฟอร์มของ Meta ซึ่งมากกว่าทุกแพลตฟอร์มอื่นรวมกัน
แม้ Meta จะชี้แจงว่าตัวเลขที่ Reuters เปิดออกมานั้น "เกินจริง" และเป็นตัวเลขที่รวมโฆษณาที่ถูกต้องตามกฎหมายบางส่วนไว้ด้วย แต่ Meta ก็ยอมรับว่ามีการหารือภายในเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างรายได้และการบังคับใช้กฎ โดยในเอกสารระบุว่า ทีมตรวจสอบภายในปี 2568 ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการใด ๆ ที่อาจทำให้บริษัทสูญเสียรายได้เกินร้อยละ 0.15 ของรายได้รวม หรือราว 135 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 5,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกของปีดังกล่าว
นักวิเคราะห์มองว่าการจำกัดเพดานเช่นนี้เป็นการสะท้อนจุดยืนของ Meta ที่ยังให้ความสำคัญกับ "ผลกำไร" เหนือ "ความปลอดภัยของผู้ใช้"
บางส่วนในเอกสารยังชี้ว่า Meta เคยตั้งเป้าลดรายได้จากโฆษณาผิดกฎหมายจากร้อยละ 10.1 ในปี 2567 เหลือร้อยละ 7.3 ภายในสิ้นปี 2568 และค่อย ๆ ลดเหลือร้อยละ 6 ในปี 2569 ก่อนจะเหลือเพียงร้อยละ 5.8 ในปี 2570 แต่ในทางปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการลดลงอาจช้ากว่าที่คาด เพราะแต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่เข้มงวดไม่เท่ากัน และ Meta เองมักเน้นแก้ไขเฉพาะในตลาดที่มีแรงกดดันจากรัฐบาล
เมื่อรวมกับนโยบายคิดค่าโฆษณาเพิ่มแทนการลบ และการรายงานภายในอย่าง "Scammiest Scammer" ซึ่งแม้จะมีชื่อบัญชีหลอกลวง แต่หลายรายยังคงโฆษณาได้ตามปกติ ก็ยิ่งตอกย้ำว่าการจัดการของ Meta ยังเป็นเพียงการบรรเทาเชิงธุรกิจมากกว่าการแก้ปัญหาจริง
สุดท้ายแล้ว โลกอาจต้องตั้งคำถามใหม่ เมื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่กลายเป็นแหล่งรายได้ของมิจฉาชีพโดยไม่ตั้งใจ หรืออาจตั้งใจบางส่วน เพื่อรักษากำไร บริษัทอย่าง Meta ยังสมควรถูกมองว่าเป็นเพียงแพลตฟอร์มเทคโนโลยี หรือได้กลายเป็นผู้ร่วมขบวนการของเศรษฐกิจมืดดิจิทัล ไปแล้วกันแน่ ?
อ่านข่าวอื่น :
จับหญิงนำ “ลิงลม” เร่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกลางตลาดถนนคนเดิน
"สกล เกลี้ยงประเสริฐ" โค้ชระดับปรมาจารย์ มือปั้นนักบอลขาสั้นสู่ทีมชาติ











