รับมือเศรษฐกิจยุโรป ผ่านบทเรียนวิกฤต
วันที่ 2 ก.ค. 2540 ไทยต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท จาก 27 บาท เป็นเกือบ 60 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จนทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ทั้งจีดีพีติดลบ การว่างงาน หนี้เสีย บริษัทล้มละลายขณะเดียวกันผลจากนโยบายเปิดเสรีทางการเงินที่หวังให้ไทยเป็นศนย์กลางการเงินของภูมิภาค ทำให้หนี้ต่างประเทศพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 50 - ร้อยละ 70 จากเดิมอยู่ที่ราวร้อยละ 40 ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น นั่นแปลว่าต่างชาติสามารถเรียกคืนได้ทันที เหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" และกระทบเป็นวงกว้างในทวีปเอเชีย
โดยพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธาน กรรมการหอการค้าไทย ระบุว่า "สาเหตุของการเกิดวิกฤตในครั้งนั้นเกิดจากสาเหตุสำคัญคือการใช้จ่ายเงินที่เกิดตัวโดยไม่แตกต่างกันทั้งในไทยกับวิกฤตต้มยำกุ้งและสหรัฐกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์"
ขณะที่ ธรรมวิทย์ เทอดอุดมธรรม นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อธิบายว่า วิกฤตต้มยำกุ้งเกิดจากเหตุที่ภาคเอกชนก่อหนี้มากเกินไป โดยเฉพาะหนี้กับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับอัตราการแลกเปลี่ยนที่คงที่
การลดค่าเงินบาทมีส่วนทำให้ไทยก้าวพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งเพราะประเทศมีรายได้เพิ่ม ขณะเดียวกัน IMF เจ้าหนี้รายใหญ่ของไทยกำหนดเงื่อนไขการกู้เงินที่เข้มงวด หรือเรียกว่าใช้ยาแรง ซึ่งไทยใช้เวลา 7 - 8 ปี ในการแก้ปัญหา ขณะที่สหภาพยุโรป พยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ แต่ดูเหมือนเป็นเพียงการซื้อเวลา
แต่ก็ต้องไม่ลืมการลงทุนโดยเฉพาะจากภาครัฐ ด้านโครงสร้างพื้นฐานส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และควรให้น้ำหนักการกู้เงินภายในประเทศมากกว่านอกประเทศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจไทย ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่เกิดวิกฤตบ่อยขึ้นและเร็วขึ้น