โครงการ “คนละครึ่ง” กำลังจะกลับมาอีกครั้งในปี 2568 จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสู่ความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
Thai PBS ชวนย้อนมองโครงการ “คนละครึ่ง” เกิดอะไรขึ้นบ้าง ? ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ? การปัดฝุ่นครั้งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ? มีข้อควรระวังอะไรหรือไม่ ?
รู้จัก “คนละครึ่ง” นโยบายเยียวยาในภาวะวิกฤต
โครงการ “คนละครึ่ง” เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในปี 2563 หรือก็คือช่วงหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 นั่นเอง ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักลง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กับการเยียวยาประชาชนที่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 หดตัวร้อยละ 6.1 จากปีก่อนหน้า ถือเป็นการหดตัวในอัตราที่สูงเทียบเท่ากับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
โครงการคนละครึ่งนี้เป็นนโยบายจากกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยโดยเฉพาะกลุ่มหาบเร่ แผงลอย เพื่อให้มีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ผลตอบรับของโครงการค่อนข้างดี มีกระแสตอบรับที่ผู้เข้าโครงการเป็นจำนวนมาก มีการดำเนินนโยบายต่อเนื่องถึง 5 ระยะ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นนโยบายด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของกระทรวงมาคลังแท้จริงแล้วมีออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน แต่ “คนละครึ่ง” ได้รับความนิยมและผลเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และน่าสนใจที่จะถูกนำมาปัดฝุ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
“คนละครึ่ง” ช่วยเยียวยาเข้าถึงรายย่อยได้
โครงการ “คนละครึ่ง” มีการกำหนดเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือผู้ค้าขายรายย่อย จึงมีเกณฑ์กำหนดชัดเจนให้ร้านค้าที่เข้าร่วมต้องเป็นผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยหรือเป็นร้านค้าของชุมชน ไม่ใช่นิติบุคคลหรือผู้ค้ารายใหญ่นั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนโยบายเริ่มดำเนินการคือภาพกลุ่มลูกค้าที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นพร้อมกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ พฤติกรรมลูกค้าที่หันมาใช้สิทธิ์ยิ่งเพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยร้านค้าหันมาเข้าร่วมโครงการมากขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมาแม้หมดโครงการไปแล้วอีกด้วย มีการศึกษาย้อนหลังพบว่าร้านค้าขนาดเล็กได้รับประโยชน์มากที่สุดโดยมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า
“เป๋าตัง” ประตูสู่ “คนละครึ่ง” แอพใช้ง่ายที่มาก่อนกาล
แอพ “เป๋าตัง” เปิดตัวมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางจัดสวัสดิการของรัฐ โดยมีความตั้งใจจะรวมหลากหลายบริการเอาไว้ที่เดียว ทั้งเรื่องภาษี การสนับสนุนด้านนโยบายการเงิน สุขภาพ เบี้ยผู้สูงอายุ รวมถึงการขอคืนภาษี มีการเปิดเผยว่าเบื้องหลังทีมพัฒนาแอพนั้นมีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีการออกแบบให้กระบวนการที่มีรายละเอียดซับซ้อน ต้องสามารถทำการดำเนินการได้ง่าย
ตัวระบบยังมีการตรวจสอบข้อมูลเบื้องหลัง ไม่ให้มีการใช้สิทธิ์ซ้ำ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถเข้าใช้งานได้ง่าย และเน้นรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่จะเข้ามาพร้อมกันเป็นจำนวนมากอีกด้วย ปัญหาโดยทั่วไปในช่วงแรกจึงเป็นการยืนยันตัวด้วยการใช้กล้อง แต่ยังคงดำเนินการได้อย่างดี ไม่มีอาการล่มเกิดขึ้น
แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยังคงเป็นช่วงที่ผู้คนใช้เงินสดในการจับจ่ายใช้สอยเป็นหลักก็ตาม ผลจากแอพ “เป๋าตัง” ที่ใช้งานง่าย มีระบบที่เสถียรเพียงพอ แม้จะพบกรณีปัญหาการโอนเงินอยู่ในช่วงแรก แต่ในภาพรวมยังคงแก้ไขให้สามารถดำเนินการได้ ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการจ่ายเงินผ่านแอพอย่างต่อเนื่อง ทั้งร้านค้าและผู้บริโภคที่เกิดพฤติกรรมการสแกนจ่ายเงินผ่าน QR code กลายเป็นช่องทางจ่ายเงินหลักแทนในเวลาต่อมา
“คนละครึ่ง” เงินประชาชนครึ่งนึง เงินรัฐบาลครึ่งนึง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยกัน ?
นโยบายช่วยเหลือด้านการเงินมักมีลักษณะของการให้เปล่า ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของประชานิยมและมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณมหาศาล แต่รูปแบบของโครงการคนละครึ่งมีลักษณะของการกระตุ้นให้คนจ่ายเงินครึ่งนึง และรัฐบาลช่วยออกอีกครึ่งนึง ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการใช้ในหลายประเทศ
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ผ่านการสำรวจความเห็นของประชาชนต่อโครงการคนละครึ่ง พบว่า นอกจากความเป็นธรรม การเข้าถึงการช่วยเหลือ ความนิยมในนโยบายนี้ ผู้คนยังรู้สึกด้วยว่า นโยบายนี้มีส่วนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้สูงมาก สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ดี
“คนละครึ่ง” เคยเสื่อมมนต์ขลังมาแล้ว
โครงการ “คนละครึ่ง” สิ้นสุดลงที่เฟส 5 เมื่อช่วงปี 2565 การปิดฉากนโนบายนี้นอกจากไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินยังมองด้วยว่า นโยบายคนละครึ่ง ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกินความจำเป็นกับช่วงเวลาดังกล่าว หรือก็คือในปี 2565 นั่นเอง
บริบทด้านเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นคือภาวะเงินเฟ้ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น การกระตุ้นเงินในเฟส 5 ที่ให้เงินเพียง 800 บาท จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ การเยียวยาดังกล่าวถูกมองในแง่ลบของการเป็นเครื่องมือหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา
ข้อเสนอแนะเมื่อปัดฝุ่นนโยบาย “คนละครึ่ง 2568”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายคนละครึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่การปัดฝุ่นกลับมาครั้งนี้มีอะไรที่สามารถทำได้ดียิ่งขึ้นบ้าง ? มาถอดบทเรียนจากคนละครึ่งครั้งที่ผ่านมากัน
การศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า นโยบายคนละครึ่งนั้นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 40 % ของเงินที่รัฐจ่ายไป หรือก็คือทุก 1 บาทที่รัฐบาลอุดหนุน จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนจ่ายเพิ่มเพียง 40 สตางค์ เท่านั้น ซึ่งถือว่ามีประสิทธิผลที่ค่อนข้างจำกัด
หากเทียบกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกันของประเทศจีน งานวิจัยพบว่า ทุก 1 หยวนที่รัฐบาลจ่าย ประชาชนจะจ่ายเพิ่มขึ้น 3 หยวน หรือก็คือมากกว่า 3 เท่าเลยนั่นเอง
โดยสิ่งที่เกิดขึ้นกับนโยบายคนละครึ่งงานวิจัยพบว่า มีกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการบริโภคของผู้คนที่ยังคงจำกัด ลักษณะการบริโภคของประชาชนเป็นการโยกย้ายการใช้จ่ายจากการใช้จ่ายนอกโครงการมาใช้จ่ายกับร้านที่ร่วมโครงการเท่านั้น
งานวิจัยได้วิเคราะห์ถึงนโยบายและเกิดเป็นข้อเสนอแนะหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือการกำหนดเกณฑ์ในการช่วยเหลือเพื่อสร้างการจูงใจ ดังนี้
1. ผู้ร่วมนโยบายมีการใช้จ่ายถึงเกณฑ์ก่อนจะได้รับส่วนลด เทียบกับคนละครึ่งที่ให้ส่วนลดตั้งแต่บาทแรก มีส่วนช่วยเหลือเยียวยาผู้คนหลังโควิด-19 ให้เข้าถึงได้ง่าย แต่อาจไม่จูงใจให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
2. กำหนดการหมดอายุเป็นแบบวันต่อวัน เดิมทีมีกำหนดส่วนลดหมดอายุเป็นหลักเดือนที่ทยอยใช้ได้เรื่อย ๆ หากปรับเป็นการหมดอายุแบบวันต่อวันจะกระตุ้นให้คนใช้จ่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม โครงการคนละครึ่ง 2568 ถือเป็นโจทย์ท้าทายในเชิงนโยบายที่จะต้องออกแบบให้เกิดสมดุลทั้งการช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย ทำให้เข้าถึงได้สะดวก แต่ก็ต้องสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกด้วย ทั้งนี้ การจะพิจารณาปรับรายละเอียดของนโยบายนั้นขึ้นอยู่เป้าหมายสำคัญของรัฐบาลว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ? หรือต้องการช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อยเท่านั้น ? เหล่านี้คือคำถามสำคัญสำหรับคนละครึ่ง 2568 นี้
อ้างอิง
- คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย