14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท Blue Origin ส่งจรวด New Glenn เที่ยวบิน NG-2 เพื่อนำยานอวกาศในภารกิจ ESCAPADE ขึ้นไปปฏิบัติงาน และนำจรวดท่อนแรกกลับลงมาจอดบนเรือได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

หลังจากที่เที่ยวบินแรกของจรวด New Glenn ประสบความสำเร็จในการขึ้นบินแต่ไม่สามารถกลับมาลงจอดบนเรือได้ดังที่ตั้งใจไว้ ทำให้จรวด New Glenn เองมีความพร้อมและความน่าเชื่อถือมากขึ้น เที่ยวบินที่สองนี้ยานอวกาศสองลำในภารกิจ ESCAPADE ได้ร่วมเดินทางไปกับจรวดลำนี้ด้วย

ภาพถ่ายของจรวด New Glenn เที่ยวบินที่ NG-2 กำลังเดินทางออกสู่ห้วงอวกาศ ภาพจาก Blue Origin

ในเที่ยวบินล่าสุดนี้ หลังจากที่จรวด New Glenn แยกท่อนตามลำดับอย่างเป็นระบบ เครื่องยนต์ BE-4 ทั้งเจ็ดทำงานได้อย่างเสถียรจนถึงจุดแยกท่อนแรก จากนั้นท่อนจรวดส่วนนี้ได้เริ่มกระบวนการกลับสู่เรือ Jacklyn ซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก ระยะห่างประมาณ 600 กิโลเมตร การลงจอดเป็นไปอย่างแม่นยำและมั่นคง ส่งผลให้ New Glenn กลายเป็นจรวดขนาดใหญ่ระดับ Orbital Class ลำที่สองของโลกที่สามารถลงจอดบนเรือได้ต่อจาก Falcon 9 ของ SpaceX

ส่วนท่อนจรวดที่สองได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยาน ESCAPADE ไปยังวงโคจรต่ำของโลกอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ยานแฝดทั้งสองลำจะถูกปล่อยแยกตัวออก 33 นาทีหลังการปล่อย และกางแผงโซลาร์เพื่อเริ่มการสื่อสารกับสถานีภาคพื้นดิน ผลการรายงานระบุว่าระบบต่าง ๆ ของยานทำงานเป็นปกติ

ภาพถ่ายของจรวด New Glenn เที่ยวบิน NG-2 ก่อนการปล่อยไม่กี่ชั่วโมง ภาพจาก Blue Origin

ESCAPADE เป็นยานอวกาศขนาดเล็กประมาณเท่ากับตู้เย็นหนึ่งหลัง หนักราว 535 กิโลกรัม ภารกิจนี้ประกอบด้วยยานอวกาศแฝดสองลำ ได้แก่ “Blue” และ “Gold” เพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างลมสุริยะ สนามแม่เหล็กและบรรยากาศชั้นบนของดาวอังคาร นับเป็นภารกิจสำรวจดาวอังคารต้นทุนต่ำของ NASA ที่อาศัยการปล่อยโครงการร่วมกับจรวดที่อยู่ในขั้นตอนทดสอบเพื่อให้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด เป้าหมายของภารกิจนี้คือทำความเข้าใจระบบสภาพอวกาศ (Space Weather) ที่ปะทะดาวอังคารอย่างละเอียด ESCAPADE จะใช้แรงเหวี่ยงจากแรงโน้มถ่วง (Gravity Assist) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2026 ก่อนจะเดินทางถึงดาวอังคารในปี 2027 แนวทางนี้ช่วยให้ภารกิจไปสู่ดาวอังคารสามารถดำเนินการได้แม้ไม่ตรงกับช่วงการปล่อยมาตรฐานแบบเดิม เพิ่มโอกาสในการสำรวจดาวอังคารในระยะยาว

จรวด New Glenn เที่ยวบิน NG-2 กลับมาลงจอดบนเรือ Landing Platform Vessel 1 ภาพจาก Blue Origin

เที่ยวบิน NG-2 ยังสะท้อนถึงความก้าวหน้าของ Blue Origin ในการพัฒนาระบบขับดันและเทคโนโลยีการนำจรวดกลับมาใช้ใหม่ หลังจากเที่ยวบินทดสอบครั้งแรกเมื่อต้นปี 2025 ยังไม่สามารถนำท่อนจรวดแรกกลับมาลงจอดได้สำเร็จ การบรรลุผลในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าจรวด New Glenn สามารถปฏิบัติงานได้จริงครบทุกขั้นตอน ทั้งการปล่อย แยกท่อน และการลงจอดบนเรือกลางทะเล ซึ่งจะเปิดประตูบานใหม่ของอุตสาหกรรมอวกาศที่ไม่ได้มีแค่ SpaceX เพียงเจ้าเดียวเท่านั้นที่สามารถนำจรวดกลับมาใช้งานซ้ำได้ กลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้ SpaceX คุมงบประมาณและมีต้นทุนต่ำลงจนกลายเป็นเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมขนส่งอวกาศ

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ Blue Origin อยู่ในสถานะพร้อมเข้าสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์สำหรับภารกิจหลากหลายประเภท ทั้งดาวเทียมวงโคจรสูง ดาวเทียมขนาดใหญ่ที่ต้องการปลอกหัวจรวดขนาดพิเศษ ตลอดจนภารกิจด้านวิทยาศาสตร์ระดับลึกในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่อุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลกในช่วงที่มีความต้องการจรวดขนาดใหญ่แบบใช้ซ้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เรียบเรียงโดย จิรสิน อัศวกุล
พิสูจน์อักษร ศุภกิจ พัฒนพิฑูรย์

อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

สรุปประเด็นให้โดย Generative AI

จรวด New Glenn กลับมาลงจอดบนเรือเป็นครั้งแรก พร้อมส่งภารกิจ ESCAPADE ของ NASA ขึ้นสู่อวกาศ