ส่งสันติภาพ จากเหนือสู่ชายแดนใต้
คำต่อคำ คุยเปิดใจตัวแทน 3 ศาสนาและนักวิชาการ เมื่อความรุนแรงผูกโยงเข้ากับศาสนา
จากนอกพื้นที่มองเข้าไปในเหตุการณ์ความรุนแรงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นอะไร ? แก่นแท้ของการออกจากปัญหาอยู่ตรงไหน ?
ถ้อยคำแลกเปลี่ยนทั้งสถานการณ์ ประสบการณ์ วิชาการ และมิติศาสนาเพื่อให้ความเป็นมนุษย์และสันติภาพได้กลับคืนมาอีกครั้ง
ร่วมวงแชร์โดย
ดร.พระครูพิพิธสุตาทร (บุญช่วย สิรินฺธโร) เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคม
บาทหลวง นิพจน์ เทียนวิหาร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมศาสนาและวัฒนธรรมชุมชน
ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี หัวหน้าภาควิชาสันติศึกษษา มหาวิทยาลัยพายัพเชียงใหม่
ศาสตราจารย์ ดร. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดำเนินวงแชร์โดย
อนุพงศ์ ไชยฤทธิ์ รองผู้อำนวยการ ส.ส.ท.
อนุพงศ์ : วันนี้วงแชร์เราชวนนักบวชในพุทธศาสนา คริสเตียน มุสลิม นักวิชาการมาพูดคุยกัน จากสถานการณ์ในภาคใต้ความรุนแรงถูกเชื่อมโยงกับศาสนา เราจะทำอย่างไรให้เปลี่ยนความขัดแย้ง ใช้ศาสนาช่วยสร้างสันติภาพในพื้นที่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมาสะเทือนความรู้สึกคน โต๊ะครูถูกลอบยิงเสียชีวิต เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาตี จ.นราธิวาส เสียชีวิต และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ฝ่ายความมั่นคงบอกว่าเป็นการทำงานความมั่นคงที่เข้าตรวจสอบปอนาะที่จ.ปัตตานี แต่อีกด้านก็ตั้งคำถามว่าปฏิบัติการที่ใช้กำลังในสถานศึกษาของมุสลิมควรต้องระมัดระวังหรือมีแนวปฏิบัติอย่างไร
อยากเริ่มจากพระครูพิพิธสุตาทร ซึ่งคุ้นเคยกับพระอาจารย์สว่างที่เสียชีวิตและพยายามเข้าไปทำงานขับเคลื่อนสันติภาพในชายแดนใต้ด้วย
พระครูพิพิธสุตาทร: ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจครอบครัวพระครู และชาวพุทธทั่วไปด้วย เพราะพระสงฆ์ก็อยู่ในฐานะเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาด้วย อาตมาเคยไปทำงานร่วมกับพระสงฆ์ในภาคใต้เพื่อขับเคลื่อนงานสันติภาพ โดยใช้หลักการทางสันติ ที่ผ่านมาคุยกันว่าทำอย่างไรให้ชาวพุทธที่นั่นมีเข้มแข็ง ความเข้มแข็งที่ว่าคือเข้าใจหลักการพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง กระบวนการก็โดยเดินทางไปเยี่ยม ให้กำลังใจ บรรยายธรรมให้ความรู้ทางศาสนา อีกสิ่งที่สำคัญที่พระครูสว่างตั้งใจดำเนินการคือ ทำงานด้านสุขภาวะ ดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ในจังหวัดนราธิวาส และคุยกันว่าไม่ใช่แค่ดูแลสุขภาพพระสงฆ์เท่านั้น เพราะเมื่อเข้าไปจะมีการสานเสวนากับผู้นำศาสนา เลยคิดว่าน่าจะมีการขยับไปดูแลสุขภาพผู้นำศาสนาอิสลามด้วย เป็นสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำแต่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สูญเสียกำลังของผู้ที่จะทำงานด้านสันติภาพในชายแดนใต้ไป
อนุพงศ์:ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงต้นปี 2562 รวมระยะเวลา 15 ปีแล้ว มีพระสงฆ์เสียชีวิตจากความรุนแรงไป 20 กว่ารูป ด้านศาสนาอิสลามชาวมุสลิมก็สูญเสียโต๊ะครู อิหม่ามผู้สอนศาสนาไปไม่น้อย ทั้ง 2 เหตุการณ์ทำให้เกิดไม่ความเข้าใจมากขึ้นหรือไม่ เราจะทำอย่างไรให้ 2 ศาสนิกเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
ผศ.ดร.สุชาติ : มีส่วนมากเลยครับ เพราะผู้นำศาสนาไม่ว่าพุทธหรืออิสลาม เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญทางศาสนา แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม จะมองชีวิตมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะฆราวาส หรือนักบวช ตั้งแต่ปี 2547 จำนวน 8,000 กว่าชีวิตที่สูญเสีย หลายหมื่นคนที่บาดเจ็บทั้งพุทธและมุสลิม ผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรยุติความสูญเสียที่เกิดขึ้น ผมในฐานะเป็นมุสลิมอยู่ภายนอก เห็นว่าความรุนแรงไม่ใช่วงของสามจังหวัดต่อไป แต่ขยายวงไปทั่วจากความสูญเสียต่างๆ การที่เรามีโอกาสมาคุยกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเรื่องสามจังหวัดไม่ใช่เรื่องของสามจังหวัดอีกต่อไป สังคมควรรับรู้และหาทางออก
มีคนถามผมว่า ในฐานะที่เป็นมุสลิมเชื้อสายจีน รุ่นคุณพ่ออพยพมาจากจีนรู้สึกว่าเป็นชนส่วนน้อยหรือไม่ ผมตอบว่าช่วงรุ่นพ่อเข้ามาใหม่ๆ ย่อมมีความรู้สึกเพราะอพยพเข้ามา แต่ว่ารุ่นผมที่เข้าสู่การศึกษาสมัยใหม่ เติบโตเป็นหมอ เป็นครู ก็ไม่รู้สึกเป็นว่าเป็นคนส่วนน้อย คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย แต่จากเหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้มาจนถึงระยะเวลา 15 ปี เริ่มรู้สึกว่าเราเป็นคนส่วนน้อยหรือไม่ จากปรากฏการณ์ขยายวงของการต่อต้านการสร้างมัสยิดในภาคเหนือมีที่เชียงราย น่าน เชียงใหม่ ไปถึงอิสาน ภาคตะวันออก การขยายแบบนี้ เริ่มรู้สึกว่าเป็นส่วนน้อยหรือไม่ เหตุการณ์สามจังหวัดเชื่อมโยงกันไปหมด เวทีแบบนี้สำคัญที่เราต้องมาคุยกัน
ผมจำได้ว่าท่านบาทหลวงแคทอลิคฮันส์คุงเคยพูดว่า สันติสุขในสังคมใดจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีสันติสุขระหว่างศาสนา และสันติสุขระหว่างศาสนาจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าแต่ละศาสนิกไม่ได้มาพูดคุยกันหาทางออก และที่สำคัญคือการพูดคุยกันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าชนแต่ละศาสนิกไม่เข้าใจในแก่นธรรมคำสอนของศาสนาตนเอง วันนี้แก่นธรรมคำสอนของแต่ละศาสนามองชีวิตมนุษย์หรือมองปรากฎการณ์ความรุนแรงกันเราอาจจะได้คุยกัน

อนุพงศ์ : สอบถามคุณพ่อนิพจน์ว่า 15 ปีที่เกิดความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่เกิดขึ้นกับทั้งนักบวชและประชาชน วงจรความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ ทำให้เกิดความเกลียดชัง คนต่างศาสนิกเป็นคนแปลกหน้ากันและกันหรือไม่ จะทำอย่างไรให้มีทางออก คุณพ่อเคยไปแอฟริกาใต้เห็นความเกลียดชังของคนต่างผิวสี ที่สุดเขาจัดการกันอย่างไรให้วงจรความเกลียดชังคลี่คลายลงไป
บาทหลวงนิพจน์ :เวลาได้ยินข่าวความรุนแรงในภาคใต้ คุณพ่อจะรู้สึกว่าศาสนากลายเป็นเครื่องมือของวงจรความรุนแรงหรือไม่ อยากแสดงความเสียใจกับพี่น้องที่ได้รับผลกระทบความรุนแรง เราอยู่ห่างไกลพื้นที่แต่ไม่ใช่ไม่สนใจ ประสบการณ์ส่วนตัวของคุณพ่อราวปี 2540 เคยไปที่ จ.ยะลาเพื่อร่วมประชุมกันโดยมีพระคุณเจ้า โต๊ะอิหม่าม บุคลากรทางศาสนา 100 กว่าท่านและทหารด้วย เราแลกเปลี่ยนกันว่าจะใช้ศาสนาจะมีส่วนร่วมพัฒนาและสร้างสันติอย่างไร เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ภาคใต้ อย่างน้อยทำให้เห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อนไม่สามารถตัดสินได้ทันที หลังจากนั้น เราได้ไปที่สวนโมกข์ได้พูดคุยกันทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ว่าจะนำมิติศาสนามาสร้างอารยธรรมความเมตตา การให้อภัยได้อย่างไร และพี่น้องทางภาคใต้ก็มาที่ศูนย์มิตซังที่ภาคเหนือคุยกัน ประสบการณ์ลักษณะนี้ทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ คำสอน บทบาทของศาสนิกและสถาบันศาสนา การที่เราไม่สนใจก็เป็นปัญหาด้วยเช่นกัน เป็นบาปละเลยที่เราต้องสารภาพตลอดเวลา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เรามองเห็นว่า ใครก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากวงจรความรุนแรงเป็นเหมือนเหยื่อที่เราต้องให้เมตตาและหาผู้ที่มีอำนาจมีส่วนที่จะให้ผู้ที่ได้รับทุกข์ได้รับความเยียวยาเพื่อสันติ
ผมมีประสบการณ์ที่พบเจอพระสังฆราชจากแอฟริกาใต้ ติมอร์ เล่าให้ฟังว่า ความรุนแรงไม่ได้แก้ปัญหา คำสอนของเรา (คริสต์ศาสนิกชน) คือต้องไม่ทำให้วงจรความรุนแรงเชื่อมกัน โดยมีความคิดเรื่องอภัย ไม่แก้แค้น และมีคำสอนหนึ่งว่า ผู้สร้างสันติเป็นบุตรของพระเจ้า จุดนี้จะเป็นสิ่งที่เรามาคิดว่าจะมีส่วนสร้างสันติร่วมกันอย่างไร
อนุพงศ์: ทั้งศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธเองก็มีแก่นเรื่องการให้อภัย เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ครับ
พระครูพิพิธสุตาทร : สำคัญมาก การให้ทาน นอกจากจะให้อามิสเป็นทานแล้ว อภัยทานก็เป็นเรื่องใหญ่และไม่เกิดขึ้นได้ง่าย การให้สิ่งของนั้นให้ง่าย แต่การให้อภัยสิ่งที่เป็นแผลที่บาดลึกในใจเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญการให้อภัย รวมไปถึงใครก็ทำร้ายทำลายใดๆ หลักการสำคัญคือการไม่จองเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ในแง่พระพุทธศาสนาการจองเวรจะข้ามภพข้ามชาติไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อใดก็ตามคุณหยุดวงจรได้ โดยอภัย จะไม่มีเวรต่อกัน

อนุพงศ์ : ทางอิสลามล่ะครับ
ผศ.ดร.สุชาติ : ครับ แต่ผมอยากเสริมประเด็นคุณพ่อนิพจน์ เรื่องแอฟริกาหน่อย ท่านประธานาธิปดีเนลสัน แมนเดลา ที่ติดคุกยาวนานกว่า 27 ปี ท่านให้อภัย โดยพูดว่า มนุษย์เราไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับความโกรธเกลียด เคียดแค้นเพียงเพราะคนอื่นที่นับถือศาสนา หรือสีผิว ชาติพันธุ์ต่างจากเรา แสดงว่าความโกรธเกลียดเหล่านั้นมันถูกสร้างขึ้นทีหลัง ถ้าความโกรธเกลียดสร้างขึ้นมาภายหลัง ความรักก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ เพราะความรักใกล้เคียงกับธรรมชาติมนุษย์มากกว่าความโกรธเกลียด ผมจึงเชื่อมั่นว่า ถ้าเราแต่ละศาสนกิจสร้างความรักให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเราได้อย่างไร ผมมีความหวัง และที่แอฟริกาใต้มีปรัชญาที่แปลได้ว่า I am because we are ที่ผมเป็นผมได้เพราะมีพวกเราอยู่ มนุษย์เราไม่มีใครแยกออกจากคนอื่นแม้ว่าคนอื่นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ดังนั้น ตัวผมที่มาวันนี้ กับตัวผมที่ออกไปหลังจากพูดคุยครั้งนี้เสร็จ ผมก็เป็นผมคนใหม่ เพราะได้มาเรียนรู้จากทุกท่านในที่นี้ เราเป็นคนใหม่ตลอดเวลาเพราะเราเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคนอื่นตลอดเวลา ชาวแอฟริกาจึงมองธรรมชาติ สายรุ้งที่แต่ละสีมีความโดดเด่นและมารวมกันงดงาม
และในศาสนาอิสลามกับการให้อภัย มนุษย์เราเป็นคนบาป หรือทำบาปได้ ต้องขออภัยจากพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา เมื่อเราหวังได้รับการอภัยจากพระผู้เป็นเจ้า เราก็ต้องให้อภัยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในกฏหมายอิสลามแม้ว่าจะมีโทษประหารก็ยังมีข้อยกเว้นว่า ญาติเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำให้อภัย การประหารจะยกเลิกได้ ฟังดูเหมือนจะเป็นอุดมคติ แต่ก็เกิดขึ้นจริงในสังคมมุสลิม ที่ยอมให้อภัยได้ กรณีที่ชัดเจน ดร.สมบัติ จิตต์หมวด คนไทยที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ลูกชายไปทำงานส่งพิซซ่าแต่ถูกฆ่าชิงทรัพย์เสียชีวิต ตอนขึ้นศาลท่านพูดว่า ท่านไม่ได้โกธรที่มาทำร้ายลูกท่าน แต่โกรธมารร้ายในจิตใจของผู้ที่ทำร้ายลูกของท่าน และวันนี้ขอให้อภัย และหวังว่าเมื่อได้รับโทษออกมาแล้วจะได้กลับเป็นคนดีและอยู่บนสวรรค์พร้อมกับลูกของท่าน มิติการให้อภัยนี้มีอยู่ในทุกศาสนา ถ้าเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความโกรธเกลียดจะสามารถบรรเทาไปได้
อนุพงศ์: เป็นมิติดีงามทางศาสนา แต่โลกความเป็นจริง การต่อสู้เพื่อเอกราชทุกที่ไม่ว่าจะเป็นที่ไอร์แลนด์เหนือ ความขัดแย้งคาทอลิคและโปรแตสแตนท์ หรือที่มินดาเนา ฟิลิปปินส์ ความขัดแย้งระหว่างมุสลิมและคริสต์เตียน การใช้ความรุนแรงมีเป้าหมายเพื่อสร้างการต่อรอง ไม่ได้สนใจเรื่องการให้อภัยหรือเมตตา การที่คู่ขัดแย้งมาพูดคุย มีการเปิดเวทีเพื่อเป็นทางออก ถ้าเทียบเคียงว่าการพูดคุยเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการให้อภัย
ศาสตราจารย์ ดร.อรรถจักร : ผมสรุปสิ่งที่ทั้ง 3 ท่านพูดเมื่อสักครู่ว่า ทั้ง 3 ท่านพูดว่าเราควรคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะ 15 ปีที่ผ่านมา มีกระบวนการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ ซึ่งที่สุดไม่ได้แก้ปัญหา แต่นำมาซึ่งความรุนแรงเมื่อเราเห็นอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ก็สามารถใช้ความรุนแรงได้ หัวใจของทั้งสามท่านคือเราจะสรรสร้างคืนความเป็นมนุษย์ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไร
ส่วนคำถามที่ว่า ในความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว กระบวนการนี้จะสร้างได้หรือไม่ในเมื่อมีความขัดแย้งบนฐานของชาติและอื่นๆ อย่าลืมว่า บางครั้งเราคิดถึงชาติ ชาติเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ฆ่ากันมานานมากตั้งแต่หลังสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย (ค.ศ.1959) การก่อตัวของชาติสมัยใหม่ถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือระดมเอาคนสามัญชนมาฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นสูงมาเนิ่นนาน ถ้าเราเริ่มคิดกันใหม่ ชาติเข้มแข็งกว่าที่จะสลายอะไรได้แล้ว เรามาคิดถึงชีวิตของคนธรรมดา ผมยังเชื่อว่า ถ้าสังคมเริ่มมองเห็นว่าปัญหาภาคใต้ไม่ใช่แค่ภาคใต้ เช่นที่อาจารย์สุชาติกล่าวว่า 15 ปีของปัญหาภาคใต้ได้ดึงพวกเราเข้าไปมีส่วนร่วม Hate Speech ถ้อยคำที่รุนแรง ทั้งหมดอยู่ในกระบวนการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ ถึงเวลาที่เราจะคิดกันว่า เราจะสร้างพื้นที่ตรงกลางให้โอกาสของความเมตตาผลิบานได้อย่างไร ทุกศาสนามีความเมตตาเป็นแกนกลาง เราจะสร้างพื้นที่นี้ได้อย่างไร คงไม่ใช่แค่เจรจาทางการเมือง แต่คงเป็นการสร้างพื้นที่เจรจาเพื่อคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กัน
อนุพงศ์ : แล้วใครบ้างคือคู่เจรจาครับ
ศาสตราจารย์ ดร.อรรถจักร : ผมคิดว่า ตัวอย่างรูปธรรมเลยกรณีภาคใต้ ผมคิดว่า ทหารควรที่จะถอยดูแลเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ขณะที่ลองเชื่อมกลุ่มอื่น สภาความมั่นคงก็ได้ ศาสนาก็ได้ ค่อยๆเปิดพื้นที่ ผมไม่คิดว่าจะสำเร็จใน 1-2 วัน เพราะ 15 ปีที่ผ่านมา ความเจ็บแค้นถูกสร้างให้ฝัง แต่จะเริ่มมีหน่ออ่อนของการเปิดโอกาสให้ความเมตตา ทหารและรัฐต้องหยุดคิดเรื่องความมั่นคงเพียงมิติเดียว ความมั่นคงของรัฐต้องเกิดจากการมองเห็น และเข้าใจกันและกัน พหุวัฒนธรรมที่รัฐคิดเป็นเพียงแค่การบอกว่าฉันเป็นอย่างนี้ คุณเป็นอย่างนี้ แล้วต่างคนต่างอยู่ ซึ่งไม่ใช่ สิ่งที่ท่านพระครู คุณพ่อนิพจน์ อาจารย์สุชาติต้องการคือทุกคนเห็นกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ ผมเชื่อว่าพื้นที่กลาง พื้นที่สาธารณะเช่นนี้ครั้งหนึ่งเคยมี แต่ถูกทำลายลง ไปทำให้ความสัมพันธ์แนวระนาบสูญสลายไปในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยกลไกความรุนแรง ความเกลียดชังเป็นหลัก
สิ่งที่ยากกว่า ในบรรยากาศ 15 ปีที่ผ่านมาและที่น่ากังวลมากๆ คือ คุณพ่อนิพจน์พูดว่า ทั้งพี่น้องพุทธและมุสลิม ทุกคนเป็นเหยื่อ ไทยพุทธรู้สึกว่าตนเองเป็นคนกลุ่มน้อยในพื้นที่ของตนเอง ส่วนมุสลิมก็รู้สึกเป็นคนกลุ่มน้อยและถูกบีฑามากขึ้น กระบวนการแบบนี้ทำให้เกิดช่องว่างให้ทำให้เกิดการแสวงหาตามมามากมายเลย ต้องคิดกันใหม่ว่าเราจะทำอย่างไรที่จะเปิดพื้นที่ให้ความเมตตาผลิบาน คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กัน ถ้ารัฐคิดได้ ลองปรับใหม่ ทหารไม่ต้องทำทุกเรื่อง ทหารทำเรื่องความมั่นคง แล้วเปิดพื้นที่อื่นให้คนอื่น ผมย้ำว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่วันเดียวสำเร็จ แต่เป็นขั้นตอนที่จะทำให้เราเข้าใจกันและกันอาจทำได้ดีกว่ากรณี Bangsa Moro (ข้อตกลงสันติภาพที่มินดาเนา อันเป็นการเจรจาระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน milf) ก็ได้ เพราะเรามีฐานที่ดีกว่าความขัดแย้งจาก Bangsa Moro ขณะที่มินดาเนาเขารบกันมานานกว่าเรามาก ผมยังมีความหวังว่าถ้าเราในสังคมไทยตระหนักว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แต่ภาคใต้ เราอยู่เฉยๆก็มีส่วนทำให้ปัญหาแรงขึ้น ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหานี้

อนุพงศ์ : สิ่งที่อาจารย์อรรถจักรพูดถึงการจัดการความรุนแรงโดยใช้กำลัง เหมือนกับที่คุณพ่อพูดว่าเป็น Power of gun ถ้าเราจะกลับมาจัดการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยความรักความเมตตา หรือ Power of wisdom and Compassionate การจัดการปัญหาที่อื่นๆเขาจัดการอย่างไร และเราจะปรับมาใช้ในสามจังหวัดได้อย่างไร
บาทหลวง นิพจน์ : เรื่องความรุนแรงเป็นประเด็นหนึ่งของสภาสังคายนาวาติตันเมื่อ52 ปีที่แล้ว และออกเอกสารว่าด้วยสันติภาพในโลก ครบรอบ 50 ปีเมื่อปีที่แล้วและผมได้ไปประชุมเพื่อมองไปใน 50 ปีข้างหน้าว่า อันนี้เป็นบทบาทของศาสนา สิ่งที่สำคัญในบทบาทศาสนาคือไม่ใช่แค่เพียงตนเอง แต่บทบาทศาสนาจะเกิดในพื้นที่สาธารณะโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความรุนแรง ความอยุติธรรม จนกระทั่งสภาพระสังฆราชแห่งเอเชียบอกว่า พันธกิจในเอเชียคือการเสวนาระหว่างประชาชนของศาสนากับประชาชนคนเล็กคนน้อย คนชายขอบ คนได้รับผลกระทบ กับวัฒนธรรมที่แตกต่าง เพื่อสังคมแห่งสันติและความยุติธรรม มีการประชุมปรึกษาหารือว่าในความขัดแย้งเราจะทำให้เกิดความกลมกลืนโดยการคืนดีกันได้ไหม และบอกตรงกันว่าเราจะต้องนำเสนออารยธรรมที่หลุดออกจากอารยธรรมสมัยใหม่ รัฐชาติ วัตถุนิยม อำนาจนิยม ซึ่งตอนนี้อารยธรรมของวัตถุนิยมมันขาดซึ่งศีลธรรม จริยธรรม และชีวิตจิต ไม่ได้เอาคุณค่าของการอภัย แต่เอาความแค้น การเอาชนะเป็นหลัก ซึ่งได้มีข้อเสนอเรื่องการกลับใจ เพราะการจะคืนดีได้ เราต้องกลับใจก่อน เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ เราก็เป็นคนบาปคนหนึ่ง เราก็จะรำพึงค่อยๆเปลี่ยนแปลงจากภายใน เมื่อเราแค้น เราจะต้องรู้ว่าเราจะค่อยๆเปลี่ยนอย่างไร สิ่งที่เป็นของแข็งข้างในเราจะทำให้อ่อนได้อย่างไร เพื่อที่เราจะได้มีพลังด้านบวกในธรรมชาติมาสร้างสรรค์เรา ถ้ามนุษย์เราดึงเอาพลังสิ่งที่เป็นบวก สร้างสรรค์ เราก็จะเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่หลุดจากกรอบเพื่อสร้างอารยธรรมใหม่ได้เพื่อสันติ เพื่อสังคมที่ยุติธรรมและสันติ และสันติกับสิ่งแวดล้อมด้วยได้อย่างไร เราจะต้องกลับใจกันหมด เราต้องเอาคำสอนของพระเยซูเจ้า ท่านบอกว่าคนตบแก้มข้างหนึ่งต้องหันไปอีกข้างหนึ่ง เขาขอเสื้อข้างนอก เอาเสื้อข้างในให้อีก ยากมาก เป็นความเปลี่ยนแปลงถอนรากถอนโคน ผมคิดว่าต้องกลับมาหาคุณค่าของปัญญาที่อยู่ในทุกฝ่าย พุทธ คริสต์ มุสลิม ทุกฝ่าย เป็นอารยธรรมที่เราต้องแสวงหา ถ้าเราสร้างค่อย อาจแก้ไขระดับเล็ก ไปสู่ภาพใหญ่ได้
อนุพงศ์ : พระครูไปทำงานขับเคลื่อนชาวพุทธในสามจังหวัด กรณีท่านสว่างมรณภาพ จะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติภาพหรือไม่
พระครูพิพิธสุตาทร : ในกลุ่มทำงานพูดคุยกันก็คิดว่าจะต้องเดินหน้ากันต่อ เพียงแต่อาจต้องระมัดระวังมีการดำเนินการเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น ที่คุยกันว่าอย่างไรการเดินหน้าทำงานด้านสันติภาพโดยหลักการสันติ อหิงสาเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะไม่มีทางอื่น จะไปสู้รบปรบมือจะทำอย่างไร พระสงฆ์จะต้องติดอาวุธ หรือชาวพุทธต้องมีอาวุธป้องกันตัวเอง ไม่น่าจะใช่ ทำอย่างไรจะอยู่ได้อย่างปลอดภัย ก็ต้องฝากภาครัฐ เพราะชาวพุทธที่นั่นรู้สึกมากช่วงเกิดเหตุการณ์ใหม่ ว่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกว่าปลอดภัยมากขึ้น มีการจัดการชุมชนของตนเอง ที่จะสามารถให้ดูแลความปลอดภัยด้วยตัวเองได้ มีการบริหารจัดการให้มีการสร้างรายได้ให้ชาวพุทธที่อยู่ที่นั่น อย่างผู้ที่มีสวนยาง ก็ยังห่วงเรื่องกรีดยางไม่ได้ ทำอาชีพอื่นเสริมให้เขารู้สึกปลอดภัยในพื้นที่ได้ และขยับไปสู่พี่น้องมุสลิม มีอาชีพเสริม ทำให้พื้นที่มีความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน เป็นโมเดลที่น่าใจ อาจต้องขยับไปชุมชนอื่นๆ ที่มีการอยู่ร่วมกัน แต่ประเด็นคือปัญหาตอนนี้คือ การมองกันแบบหวาดระแวง เราจะแก้เรื่องนี้ได้อย่างไร เราต้องกลับมาตั้งสติ คิดทบทวนหลักคำสอนพุทธศาสนามากขึ้น เช่นที่ท่านพุทธทาส พูดว่าเราเป็นคนศาสนาใด ก็ต้องรู้จักคำสอน ลึกซึ้งในคำสอนของตัวเอง ขณะเดียวกัน ขณะนี้สังคมไทยกลายเป็นสังคมมีคนต่างศาสนาอยู่ร่วมกันมากขึ้นเป็นลำดับ เราก็ต้องรู้จักศาสนาอื่นด้วย เพื่อให้เราอยู่ร่วมกับเขาปฏิบัติกับเขาถูกต้อง ขณะนี้การขยายตัวของผู้คนหลากหลายศาสนาเพิ่มขึ้น สุดท้ายท่านพุทธทาสพูดถึงการออกจากการเป็นทาสของวัตถุนิยม เป็นเรื่องใหญ่มาก คือการออกจากการเป็นทาสของวัตถุนิยมเป็นเรื่องใหญ่มาก หลายพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้ง หลายครั้งสาวไปลึกไปเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ความอยากได้อยากมี ของฉันถูกคุณผิด ไม่ใช่ระหว่างศาสนาเท่านั้น แม้ในคนในศาสนาเดียวกันก็มีความขัดแย้ง ดังนั้นเรื่องการสนานเสวนาสำคัญมาก ที่เราต้องทำให้มีมากขึ้น ไม่มีวงคุย จะหาทางออกไม่ได้
อนุพงศ์ : ประเด็นคือเราไม่ใช่ผู้สูญเสีย มีคำพูดว่าตายสิบเกิดแสน เกิดความเกลียดชังขยายวง เพราะมีปัจจัย เช่น เกิดกรณีตากใบ เราจะทำอย่างไรให้ผู้ที่ได้ผลกระทบไม่ผูกพยาบาท
ผศ.ดร.สุชาติ : ผมมีประสบการณ์ตรง เคยคุยกับพี่น้องสามจังหวัดที่พบ เขาพูดทำนองว่า พวกเรามุสลิมถูกโจมตีว่าหัวรุนแรง ชอบล้างแค้น เขาถามผมกลับว่า อาจารย์ลองคิดดูว่าตอนนี้กี่พันศพ คนบาดเจ็บเท่าไหร่ แล้วคูณด้วยญาติพี่น้องมหาศาลเท่าไหร่ตอนนี้ อาจารย์ลองนึกดูว่าศาสนาเราถ้าไม่มองว่าความตายเป็นการกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าต้องกลับคืนสู่พระองค์ไม่ว่าการตายของเราจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตามเป็นการกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า เราถูกกระทำให้ตายอย่างไรก็แล้วแต่เขาก็ทำใจว่านี่คือกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า ถ้าเราไม่คิดแบบนี้อาจารย์คิดดูว่าสามจังหวัดจะลุกเป็นไฟขนาดไหน เราจะเคียดแค้นตามล่าแค่ไหน แต่แน่นอนอาจมีบางคนส่วนน้อยที่อาจเป็นรู้สึกเคียดแค้นในฐานะมนุษย์ที่อาจจะมี กลับมาที่ท่านพระครูพูดถึงพระอาจารย์สว่าง ซึ่งผมสะเทือนใจเพราะมีโอกาสร่วมวงเสวนากับท่านที่นราธิวาส ยังจำที่ท่านพูดว่า อาตมาสามารถพูดมลายูได้ ผมคิดว่ามีความหวังอยู่ อย่างน้อยมีภาพที่งดงาม ในงานศพของท่านมีมุสลิมมา ยังมีมุสลิมอีกจำนวนมากที่รักและเคารพท่าน มิตินี้เป็นเรื่องงดงามและสำคัญที่เรามีอัตลักษณ์หลายอย่างถูกครอบและแข็งกระด้าง ฉันเป็นพุทธ คริสต์ มุสลิม บรรยากาศมีเป็นเราอยู่
ส่วนประเด็นอาจารย์อรรถจักรพูดถึงพหุวัฒนธรรมที่ทางการพยายามชูเป็นนโยบายลงไป ผมอยากตั้งคำถามด้วยเช่นกันว่านโยบายพหุวัฒนธรรมมักจะบูรณาการความต่างในขณะที่ความจริงแล้วจะต้องเป็นการแชร์ความเหมือน เรามีอะไรเหมือนกันบ้างมาแชร์กัน แล้วปล่อยให้แต่ละคนต่างกันได้ ทุกวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเราไม่ยอมรับความต่างไม่ว่าทางมุสลิมเองที่มองพี่น้องต่างศาสนิก หรือพี่น้องต่างศาสนิกมองมุสลิมเองอย่างกรณีที่เกิดขึ้นโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ที่โรงเรียนเป็นเขตพุทธมีกฏระเบียบ มุสลิมต้องแต่งกายตามระเบียบเหมือนคนพุทธ แล้วในกรุงเทพที่หลายพื้นที่ที่มีสุเหร่ามากมาย เด็กพุทธจะต้องมาแต่งกายสวมหมวกกะปิเยาะเหมือนเด็กมุสลิมหรือ แบบนี้ไม่ใช่พหุวัฒนธรรม เพราะพหุวัฒนธรรมจะต้องเคารพในความที่เขาเป็น และในความต่างเรามีความเหมือนกันมากมายที่มาแชร์กันได้ เช่นที่พระครูพิพิธสุตาทรทำไม่เฉพาะภาคใต้ ในเชียงใหม่ที่เราทำทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ที่รวมกัน เราไปชุมชนไหนเจอปัญหาสุขภาพ คนโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน แล้วเราจะช่วยสร้างสุขภาพที่ดีบนพื้นฐานศาสนาของเราแต่ละศาสนาได้อย่างไร มิตินี้ถ้าเราค่อยขยายวง อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ต้องเปิดพื้นที่กลางให้ชาวบ้านมากขึ้น ในฐานะที่ผมเป็นมุสลิมในสังคมไทย ผมยังเห็นความงดงามในการที่สังคมไทยยังให้เสรีภาพในการนับถือศาสนามากกว่าหลายสังคม ที่เป็นเช่นนั้น เพราะรัฐไม่ได้มาแทรกแซงอออกกฏหมายเหมือนในหลายประเทศ เช่นห้ามคลุมฮิยาบในที่สาธารณะ เป็นต้น แต่เมื่อใดก็ตามเมื่อรัฐเข้ามาแทรกแซง จะทำให้ปัญหาซับซ้อนมากขึ้น เช่นที่ มายอ ในโรงเรียนปอเนาะอิสลาม ที่รัฐอาจรู้สึกว่าเป็นแหล่งฝึกก่อการร้ายหรือไม่ ในขณะที่เด็กมาออกกำลังกายกัน เป็นต้น อคตินี้ ถ้ารัฐเข้ามาในพื้นที่ปริมณฑลของศาสนาไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม จะเพิ่มความซับซ้อนในความขัดแย้งมากขึ้น ผมจึงคิดว่าปล่อยชาวบ้าน ถึงที่สุดชาวบ้านจะพยายามจัดการกันได้ ในส่วนของมุสลิมมีต้นทุนคำสอนมากมายเพียงแต่เราไม่มีโอกาสมาคุยกัน สิ่งที่พระครูพิพิธสุตาทรพูดผมคิดว่าสำคัญมากๆคือ การเสวนาภายในศาสนา ที่ผ่านมาที่ผมไปทำงานในภาคใต้ก็จะเป็นการสานเสวนากับผู้นำศาสนา เยาวชน ครู เป็นการพูดคุย ทบทวนตัวเอง เรามองเพื่อนต่างศาสนิกอย่างไร หรือเวลาผมไปบรรยายตามที่ต่างๆ คำถามแรกที่ผมจะโยนเข้าไปบรรยายคือ ถามนักศึกษาที่ไม่ใช่มุสลิมว่า เมื่อพูดคำว่ามุสลิมนึกถึงอะไร คำตอบคือเดาได้เลยครับ นึกถึงไม่กี่คำ ไม่กินหมู มีเมีย 4 คน รุนแรง ผู้ก่อการร้าย การที่เพื่อนต่างศาสนิกไม่รู้จักเรา ปัญหาอยู่ที่เขาไม่ศึกษาเอง หรือเราในฐานะที่เป็นมุสลิมได้ทำให้เขาเห็นความงดงามของอิสลามที่อยู่ในตัวเราหรือไม่ แล้วผมก็ยกคำของนักวิชาการท่านหนึ่งว่า ทุกวันนี้ไม่เพียงคนที่ไม่ใช่มุสลิมที่ล้มเหลวในการเข้าใจมุสลิม แต่มุสลิมเองก็ล้มเหลวที่จะอธิบายตัวเอง ผมคิดว่าอิสลามสอนกันมาตลอด มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ย้ำตลอด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ในอิสลามก็สอน แม้แต่การสร้างมนุษย์อดัม ก็ให้วิทยปัญญาหลายอย่าง ดินที่เอามาสร้างมาจากทุกสีของโลก ความหลากหลาย บอกอะไรเราหลายอย่าง มนุษย์เราไม่มีทางที่จะเหมือนกันได้ เราจะอยู่อย่างไรท่ามกลางความแตกต่างบนพื้นฐานเคารพกัน และไม่จำเป็นต้อเหมือนกัน



