7 เม.ย. 2559 ความคืบหน้ากรณี พัฒน์นรี หรือ หนึ่งนุช ชาญกิจ มารดาของ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังเข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ 36/2559 ลงวันที่ 6 พ.ค.59 ต่อมาพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากกรณีที่มารดาจ่านิวไม่ได้ห้ามปรามหรือต่อว่าที่นายบุรินทร์ ส่งข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ มาทางกล่องข้อความของเฟซบุ๊ก และไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ในช่วงเช้านายสิรวิชญ์ ที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างจังหวัด และประชาชนอีกหลายสิบคนได้เดินทางเข้าเยี่ยมพัฒน์นรี ที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้องตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา จนเวลา 10.30 น. พัฒน์นรีได้ถูกนำตัวมาที่ บก.ปอท. เพื่อทำเรื่องย้ายสถานที่ควบคุมตัวจาก สน.ทุ่งสองห้อง ไปยังกองบังคับการปราบปราม มีรายงานข่าวด้วยว่า จะมีการแถลงข่าวที่กองบังคับการปราบปราม จากนั้น เวลาประมาณ 11.30 น. มารดาของสิรวิชญ์ถูกนำตัวมาควบคุมที่กองบังคับการปราบปราม

ที่มาภาพ: เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ร้องปล่อยตัว ‘แม่จ่านิว’
ต่อมา เมื่อเวลา 12.40 น. นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง เดินทางเข้าให้กำลังใจ พัฒน์นรี และสิรวิชญ์ พร้อมมอบดอกไม้แสดงความเป็นห่วง ก่อนอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว ‘แม่จ่านิว’
รายละเอียด ดังนี้
|
แถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง สืบเนื่องจากกรณีที่ศาลทหารได้ออกหมายจับ นางสาวพัฒน์นรี หรือหนึ่งนุช ชาญกิจ มารดาของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักศึกษาแกนนำกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อวานนี้ (วันที่ 6 พฤษภาคม 2559) และนางพัฒน์นรี ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือ ปอท. ในวันเดียวกัน พร้อมได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว แต่ไม่ได้รับอนุญาตและต้องถูกคุมขังอยู่ที่ สน. ทุ่งสองห้องนั้น เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ซึ่งติดตามและห่วงใยการละเมิดสิทธิพลเมืองที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น จึงขอแถลงท่าที ดังต่อไปนี้ 1. การตั้งข้อหาและออกหมายจับแม่จ่านิว เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุอันควร ข้อเท็จจริงปรากฎชัดว่า แม่จ่านิว มิได้พิมพ์ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทสถาบันแต่อย่างใดเลย เฉพาะคู่สนทนาบนเฟซบุ๊กที่มิได้มีความคุ้นเคยกับแม่จ่านิวที่เป็นผู้พิมพ์ถ้อยคำ แม่จ่านิวเพียงแต่ตอบรับด้วยคำว่าจ้า เพื่อปิดการสนทนาเท่านั้น ดังนั้นการตั้งข้อหาคดีอาญาที่มีบทลงโทษรุนแรง โดยอ้างว่า การที่มิได้ห้ามปรามถือเป็นความผิดด้วย จึงเป็นการตีความที่ขยายมูลเหตุแห่งความผิดที่เกินเลยโดยประชาชนไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน หากมีการตั้งข้อหามาตรา 112 ด้วยมูลเหตุเพียงเท่านี้ จะเปิดช่องให้มีการกลั่นแกล้งกันได้โดยง่าย เหมือนเช่นขณะนี้ที่ประชาชนเกิดข้อกังขาว่า คสช.กำลังกลั่นแกล้งแม่จ่านิว เพื่อผลทางการเมืองในการข่มขู่คุกคามนายสิรวิชญ์ หรือ จ่านิว ที่เป็นแกนนำเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย 2. การใช้ดุลพินิจไม่ให้ประกันตัวอย่างไม่เหมาะสม ผู้บังคับการ ปอท. ปฏิเสธการให้ประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคดีร้ายแรงมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและยุ่งเหยิงกับพยาน โดยมิได้พิจารณาว่า แม่จ่านิวได้แสดงความบริสุทธ์ใจเข้าพบพนักงานสอบสอนในทันที่ที่ถูกออกหมายจับ (โดยไม่มีการออกหมายเรียกมาก่อน) พร้อมทั้งมีหลักทรัพย์เป็นเงินสดประกันตัวถึง 5 แสนบาท ย่อมแสดงถึงความบริสุทธ์ใจที่พร้อมจะสู้คดี การกักขังบุคคลโดยไม่เหตุอันควร ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างมิอาจยอมรับได้ 3. คสช.ควรตระหนักว่า การดำเนินคดีกับประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุอันควรจะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน เพราะประเด็น 112 เป็นประเด็นที่อ่อนไหว ทำให้ประชาชนที่เข้าใจผิดก่อกระแสเกลียดชังจ่านิวและแม่จ่านิว ส่วนประชาชนผู้รักความเป็นธรรมก็จะโกรธแค้นคสช. ที่ตั้งข้อหาประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม วิธีการเช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งสิ้น และเป็นการกระทำที่แย้งกับที่คสช.ประกาศว่า จะสร้างความสงบขึ้นในสังคมไทย สุดท้ายนี้ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ขอยืนยันว่า เราเป็นห่วงสิทธิของพลเมืองไม่เพียงแต่กรณีแม่จ่านิวเท่านั้น เราขอเรียกร้องให้คสช.เคารพกฎหมาย และหยุดการจับกุมคุมขังประชาชน โดยไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศาลทหารจะพิเคราะห์และอนุญาตให้แม่จ่านิวได้รับการประกันตัวในวันพรุ่งนี้ ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และเสมอภาค เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง |
เจ้าหน้าที่ คสช.พร้อมทั้งตำรวจ ปอท.แถลงข่าวคดีแม่จ่านิว
ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 13.10 น. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายเสนาธิการผู้บังคับบัญชาคณะทำงานพิเศษฝ่ายกฎหมาย คสช. พร้อมด้วย พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 ปอท. และ พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท แถลงข่าว
พ.ต.อ.โอฬาร กล่าวว่า การดำเนินการเกี่ยวกับคดีดังกล่าวซึ่งประกอบด้วยกฎหมายหลายข้อ อาทิ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทาง ปอท. จึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินคดีโดยประมวลตามกฎหมายอาญา ประเด็นขึ้น เกิดความสับสนว่า มีการกล่าวหาใส่ร้ายว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปโดยไม่มีหลักฐาน หรือกลั่นแกล้ง ตนขอชี้แจงว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ดำเนินการตามขั้นตอน และมีพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนชัดเจน
สำหรับพฤติการณ์แห่งคดีนั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดได้ เนื่องจากเป็นขั้นตอนในการสอบสวนสืบสวน จึงต้องเป็นความลับ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า มีการนำเสนอข้อมูลต่อศาลให้พิจารณา และศาลได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับดำเนินคดีทั้งสองราย ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้อาศัยอำนาจอื่นใดในการดำเนินคดี
ทั้งนี้ ในวันที่ 8 พ.ค. จะนำตัว น.ส.พัฒน์นรี ไปฝากขัง อย่างไรก็ตาม ที่ประชาชนมีการบอกว่า น.ส.พัฒน์นรี ไม่ได้มีการดำเนินการดังกล่าวนั้น ไม่เป็นความจริง จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.พัฒน์นรี และนายบุรินทร์ มีการดำเนินการร่วมกัน มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายกระทำความผิด ซึ่งทุกอย่างจะปรากฏในชั้นศาล หากตรวจพบเราจะดำเนินการทันที ขอความร่วมมือหากมีการนำเสนอข้อมูลควรมีหลักฐาน ไม่ควรบิดเบือน หรือนำสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วนำเสนอออกไป ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ปฏิบัติงานได้
ยืนยันว่าตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่ง ไม่เคยมีการกลั่นแกล้งใดๆ หรือข่มขู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน สำหรับบุคคลที่แชร์และกดไลค์ข้อความ ที่แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าวถือว่า มีความผิด
พ.ต.อ.โอฬาร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการลิดรอนสิทธิของสื่อ ไม่มีการเซ็นเซอร์ข่าว ไม่เคยมีการห้ามในการแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายในกฎหมาย ขอความกรุณาสื่อมวลชนหากต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์สามารถติดต่อมาได้ที่ตน
ส่วนทางโลกโซเชียลได้มีการแชร์ภาพที่มีข้อความ “จ้า” ของแม่จ่านิว เชิงหมิ่นประมาทนั้น ตนไม่สามารถบอกรายละเอียดข้อความเนื้อหาได้ แต่การพูดคุยของทั้ง 2 คนเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา แม่จ่านิวไม่ได้พิมพ์เพียงแค่คำว่า “จ้า” มีการสนทนามากกว่านั้น ส่วนคำว่า “จ้า” ทางกฎหมายไม่มีการตีความ จะต้องดูพฤติการณ์ของผู้กระทำ และถึงจะมีการพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนั้น ที่จะมาบอกว่าพิมพ์คำว่า “จ้า” อย่างเดียวและผิดกฎหมายนั้น อันนี้ถือว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งผู้ที่นำเสนออาจทำให้โดนดำเนินคดีได้โปรดระมัดระวัง ขอยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยศาล อย่างไรก็ตาม จะมีการควบคุมตัว น.ส.พัฒน์นรี ไว้ที่กองบังคับการปราบปรามไว้ 1 คืน ก่อนนำตัวส่งศาลทหารเช้าวันพรุ่งนี้ต่อไป
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า อะไรที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายหรือมีความสุ่มเสี่ยงอย่าเข้าไปกระทำ กรณีของแม่จ่านิวเป็นเรื่องการโพสต์ข้อความ ตนพูดมาตลอดว่ากฎหมาย ก็คือกฎหมาย อะไรที่มันสุ่มเสี่ยงถ้าไม่รู้ก็อย่าไปยุ่ง ก็ควรจะศึกษาว่ากฎหมายมีอะไรบ้าง ไม่ใช่ควรไปกระทำการด้วยความคึกคะนอง แต่อะไรก็แล้วแต่ เมื่อไปเกี่ยวข้องกับกฎหมาย และเริ่มกระบวนการของกฎหมายแล้ว ต้องดำเนินการ
เมื่อถามว่าพบหลักฐานชัดเจนหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวสั้นๆ ว่า ถ้าไม่มีหลักฐานคงไม่มีการดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับกรณีความมั่นคง ตนเชื่อมั่นในตัวของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะกำลังแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารกำลังไปค้นบ้านจ่านิว 3 แห่ง
ตร.เข้าตรวจยึดคอมฯ บ้าน ‘จ่านิว’ ขณะมีเพียงยาย-น้องสาวอยู่บ้าน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า มารดานายสิรวิชญ์ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการแถลงข้อเท็จจริงในคดีของเจ้าหน้าที่ คสช.และปอท. ด้านทนายความและนายสิรวิชญ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในห้องแถลงข่าว และในขณะที่การแถลงข่าวยังไม่เสร็จสิ้น นายสิรวิชญ์ได้รับการติดต่อจากน้องสาว ซึ่งอยู่กับยายที่บ้านว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี นำหมายค้นไปที่บ้าน จากนั้น ได้เข้าตรวจค้นบ้านและยึดเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีจำนวน 1 เครื่อง และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกันในบ้านอีก 1 เครื่อง โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเข้าค้นบ้านประมาณ 1 ชั่วโมง และก่อนหน้าที่จะเข้าค้นบ้าน เจ้าหน้าที่ได้เฝ้าอยู่นอกบ้านประมาณครึ่งชั่วโมง
แม้นายสิรวิชญ์จะแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าให้รอตนและทนายความกลับไปก่อนค่อยดำเนินการ เพราะที่บ้านมีแต่เด็กและคนชรา แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปโดยที่ไม่รอนายสิรวิชญ์กลับมา และเจ้าหน้าที่จะมีความพยายามจะให้ยายของนายสิรวิชญ์ลงชื่อในเอกสาร แต่ยายไม่ยินยอมลงชื่อ
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุด้วยว่า ในฐานะองค์กรให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือในคดี น.ส.พัฒน์นรีโดยตรง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ขอยืนยันว่าถ้อยคำซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้กล่าวหาว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก “Nuengnuch Chankij” กระทำความผิดนั้นมีลักษณะเป็นการสนทนาเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการพูดจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยค โดย “Nuengnuch Chankij” นั้น ไม่ได้พิมพ์ข้อความแสดงความคิดเห็นใดที่พาดพิงต่อสถาบันกษัตริย์เลย และจบท้ายการสนทนาด้วยคำว่า “จ้า” ซึ่งทำให้พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าการลงท้ายด้วยถ้อยคำดังกล่าวนั้น เป็นยอมรับและเห็นด้วยกับข้อความของผู้ใช้บัญชีเฟสบุ๊คชื่อ “Burin Intin” ซึ่งพิมพ์ข้อความมาก่อนหน้านี้
ส่วนประเด็นเรื่องการเข้าค้นบ้านของนายสิรวิชญ์นั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าการเข้าค้นดังกล่าวไม่มีการแจ้งต่อ น.ส.พัฒน์นรีมาก่อน ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกระทำได้ตลอดเวลา เนื่องจาก น.ส.พัฒน์นรีอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวไว้ ซึ่งการเข้าค้นดังกล่าวขัดต่อมาตรา 102 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กำหนดว่า “การค้นที่อยู่หรือสำนักงานของผู้ต้องหา หรือจำเลยซึ่งถูกควบคุม หรือขังอยู่ให้ทำต่อหน้าผู้นั้น ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหรือไม่ติดใจมากำกับ จะตั้งผู้แทนหรือให้พยานมากำกับก็ได้ ถ้าผู้แทนหรือพยานไม่มี ให้ ค้นต่อหน้าบุคคลในครอบครัวหรือต่อหน้าพยานดั่งกล่าวในวรรคก่อน”
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าการยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไป 2 เครื่องนั้น แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะกล่าวอ้างว่าพบข้อความที่ผิดกฎหมายในภายหลังก็ไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด เนื่องจากการค้นและตรวจยึดคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไม่มีการทำสำเนาต่อหน้าผู้ครอบครอง ทำให้การนำพยานหลักฐานจากเครื่องดังกล่าวนั้น ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด
