Loading...

แชร์

Copied!

เปิด “กองกำลังตรวจสอบข่าวสาร” รับศึกข้อมูลลวงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 2569

19 ธ.ค. 68 | 19:31 น. 20 ธ.ค. 68 | 17:40 น.
เปิด “กองกำลังตรวจสอบข่าวสาร” รับศึกข้อมูลลวงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 2569

สารบัญประกอบ

เวที “Talk for Truth” และพิธีมอบรางวัล Fact-Check Thailand Award 2026 รวมพลังสื่อ นักวิชาการ ภาคประชาชน และภาคีต่างประเทศ สะท้อนความท้าทายข้อมูลบิดเบือนที่รุนแรงขึ้นก่อนการเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569 พร้อมชี้ว่า fact-checking ไม่ใช่หน้าที่สื่อเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็น “ทักษะพลเมือง” ที่จำเป็นต่อการปกป้องประชาธิปไตยในยุคดิจิทัล

ผู้ร่วมเวทีเห็นพ้องว่า สถานการณ์ข้อมูลเท็จ ข่าวบิดเบือน และการใช้ AI ในการสร้างภาพ–วิดีโอปลอม กำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อการตัดสินใจของประชาชนในช่วงเลือกตั้ง นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ระบุว่าไทยพีบีเอสเตรียมพร้อมรับมือด้วยการสร้าง “กองกำลังตรวจสอบข่าวสาร” ผ่านโครงการ Thai PBS Verify ขณะที่นางสาว Sweta Madhuri Kannan ชี้ว่าข้อมูลบิดเบือนค่อย ๆ กัดกร่อนความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ด้าน รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม สะท้อนความต้องการเชิงสังคมต่อ “ทักษะแห่งความจริง” ผ่านหลักสูตร Policy–Fact–Photo Checking ที่ช่วยยกระดับการรู้เท่าทันข้อมูล ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เตือนว่าข่าวลวงบั่นทอนสถาบันและการตัดสินใจทางการเมือง นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ชี้ว่าการเลือกตั้งและประชามติพร้อมกันในบริบทความขัดแย้งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงข้อมูลเท็จ ขณะที่นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ตั้งคำถามต่อสื่อกระแสหลักและการกำกับกันเองของวิชาชีพ ส่วน นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เรียกร้องให้ประชาชนตรวจสอบนโยบายและ “เรียกคืนความรับผิดชอบ” จากนักการเมือง สอดคล้องกับมุมมองของศาสตราจารย์นิโคล เครเมอร์ ที่เตือนว่าข้อมูลเท็จเมื่อฝังในความคิดแล้วแก้ไขได้ยาก และอาจนำไปสู่ภาวะไม่เชื่อข้อมูลใด ๆ เลย ซึ่งเป็นอันตรายสูงสุดต่อประชาธิปไตย

Fact-Check Thailand Award 2026

ไทยพีบีเอสเปิด “กองกำลังตรวจสอบข่าวสาร” รับมือข่าวลวงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 2569

นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) กล่าวเปิดงาน “Talk for Truth” และพิธีประกาศผล Fact-Check Thailand Award 2026 ว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นโอกาสสำคัญที่เยาวชนและผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ทำงานในลักษณะกึ่งอาสาสมัคร เพื่อร่วมกันตรวจสอบข่าวสารในช่วงการเลือกตั้ง เนื่องจากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ข่าวลวงและข่าวปลอม โดยเฉพาะข้อมูลที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเครื่องมือบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มีแนวโน้มแพร่กระจายมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อสองปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

นายอดิศักดิ์กล่าวว่า ไทยพีบีเอสมีนโยบายชัดเจนในการพัฒนาเครื่องมือและบุคลากรด้านการตรวจสอบข่าวสาร โดยได้ดำเนินโครงการ Thai PBS Verify มาอย่างต่อเนื่องและจัดอบรมแล้วหลายรุ่น ซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงใกล้การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ที่เหลือเวลาเพียงราว 2 เดือน โดยขณะนี้ไทยพีบีเอสได้เตรียมความพร้อมในหลายมิติ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ข้อมูลบิดเบือนที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน

คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. หรือ ไทยพีบีเอส

คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. หรือ ไทยพีบีเอส

“โครงการดังกล่าวเปรียบเสมือนการสร้าง “กองกำลังตรวจสอบข่าวสาร” ในช่วงกว่า 50 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง พร้อมคาดหวังให้ผู้เข้าร่วมโครงการนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปถ่ายทอดต่อในครอบครัว เพื่อน และสถานศึกษา เพื่อช่วยกันระมัดระวังและรู้เท่าทันข่าวปลอม รวมถึงสามารถใช้เครื่องมือตรวจสอบข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยพีบีเอสยืนยันความพร้อมในการทำหน้าที่สื่อสาธารณะ รับฟังเสียงจากทุกภาคส่วน และร่วมกันฝ่าวิกฤตของประเทศไปสู่การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 อย่างโปร่งใสและมีคุณภาพ” รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยกล่าว

สถานทูตเยอรมนีชี้ ข้อมูลบิดเบือนกัดกร่อนประชาธิปไตย หนุนความร่วมมือหลายภาคส่วนรับมือเลือกตั้งไทย

น.ส. Sweta Madhuri Kannan First Secretary, Press and Cultural Affairs, German Embassy Bangkok กล่าวว่า เวที “Talk for Truth” และพิธีมอบรางวัล Fact-Check Thailand Award 2026 เป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเตรียมจัดการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ท่ามกลางบริบทของความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยย้ำว่าการทำงานร่วมกันของสื่อ ภาควิชาการ และภาคประชาชน มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองกระบวนการประชาธิปไตย

Sweta Madhuri Kannan เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย

Sweta Madhuri Kannan เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย

น.ส. Sweta ระบุว่า ในช่วงใกล้การเลือกตั้ง การรายงานข่าวอย่างเป็นกลางและตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจำนวนมากได้เรียนรู้ผ่านกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรม ทั้งการรับมือกับข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน การให้บริบทของข้อมูล และการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทักษะเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของการสื่อสารสาธารณะที่มีคุณภาพ พร้อมกล่าวว่า “ข้อมูลบิดเบือนไม่ได้โจมตีประชาธิปไตยโดยตรง แต่ค่อย ๆ กัดกร่อนความเชื่อมั่นอย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง”

“ประเทศไทยเช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยอื่น ๆ กำลังเผชิญปัญหาข้อมูลบิดเบือนที่บ่อนทำลายการรายงานข่าวบนพื้นฐานข้อเท็จจริง และกระตุ้นอารมณ์สาธารณะในทางที่เป็นอันตราย โดยความท้าทายสำคัญคือข้อมูลจำนวนมากถูกนำเสนอในกรอบของ “ความคิดเห็นส่วนบุคคล” ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและโต้แย้ง การรับมือกับปัญหานี้จึงไม่อาจทำได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากสื่ออิสระ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง พรรคการเมือง และสถาบันที่สังคมเชื่อถือ โดยเมื่อผู้สนับสนุนทางการเมืองได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว จะสามารถกลายเป็นผู้ส่งต่อความถูกต้อง แทนการขยายอารมณ์หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน ซึ่งความร่วมมือที่ดำเนินมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชาธิปไตย” เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยกล่าว

Sweta Madhuri Kannan เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย

Sweta Madhuri Kannan เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย

Fact-Check Thailand 2026 ชี้สังคมไทยต้องการ “ทักษะแห่งความจริง” รับมือข้อมูลลวงยุคเลือกตั้ง

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026 รายงานผลโครงการ Fact-Check Thailand 2026 ว่า เดิมโครงการตั้งเป้าอบรมนักข่าวส่วนกลางและนักข่าวภูมิภาคเป็นหลัก แต่ผลปรากฏว่ามีผู้สมัครเข้าร่วมสูงกว่าความคาดหมายเกือบหนึ่งเท่า สะท้อนให้เห็นถึง “ความต้องการเชิงสังคม” ต่อทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่สังคมต้องเผชิญกับข้อมูลลวง ข่าวบิดเบือน และภาพหรือวิดีโอที่ถูกสร้างหรือดัดแปลงด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026

รศ.ดร.วิไลวรรณ รายงานว่า ความหลากหลายของผู้สมัครและผู้เข้าอบรม ทั้งในด้านช่วงวัย ภูมิหลังอาชีพ และบทบาททางสังคม ไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลเชิงประชากรของโครงการเท่านั้น แต่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบของสังคมไทยที่ต้องการ “ทักษะแห่งความจริง” มากกว่าเดิม การที่คนหลายวัย หลายภูมิหลัง รวมถึงอาจารย์ระดับอุดมศึกษาให้ความสนใจเข้าร่วม ถือเป็นหลักฐานสำคัญว่า fact-checking กำลังพัฒนาเป็นทักษะพื้นฐานของประชาธิปไตยดิจิทัลในประเทศไทย

หัวหน้าโครงการยังกล่าวว่า หลักสูตรอบรมถูกออกแบบบน 3 แกนหลัก ได้แก่ Policy Checking, Fact Checking และ Photo Checking ซึ่งเป็นสามเสาหลักของการตรวจสอบข้อเท็จจริงในบริบทการเลือกตั้ง ผู้เข้าอบรมได้ฝึกตรวจสอบนโยบายหาเสียงเชิงโครงสร้าง ตรวจสอบข้อกล่าวอ้างตามมาตรฐานสากลของเครือข่าย International Fact-Checking Network (IFCN) และตรวจสอบภาพ–วิดีโอ รวมถึงกรณีภาพที่สร้างหรือดัดแปลงด้วย AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนความรับรู้ของสาธารณะในช่วงหาเสียง

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026

“จากผลการประเมินก่อนและหลังอบรมของผู้ตอบแบบสอบถาม 41 คน พบว่าทักษะของผู้เข้าอบรมพัฒนาอย่างชัดเจน โดย Policy Checking เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.6, Fact Checking เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 และ Photo Checking เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.3 หลังจบการอบรม ผู้เข้าร่วมยังสามารถผลิตผลงานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ถึง 54 ชิ้น ส่งเข้าประกวดในเวที Fact-Check Thailand Award 2026 ตอกย้ำว่าโครงการไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการถ่ายทอดความรู้ แต่ยังต่อยอดไปสู่การสร้างเครือข่ายและระบบนิเวศ fact-checking ของไทย เพื่อยกระดับความโปร่งใสของสังคมก่อนการเลือกตั้ง 2569” รศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าว

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวหน้าโครงการ Fact-Check Thailand 2026

รศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า “โครงการ Fact-Check Thailand 2026 ไม่ได้มุ่งสร้างเพียงนักตรวจสอบข่าวมืออาชีพเท่านั้น แต่กำลังสร้าง ‘ทักษะแห่งความจริง’ ให้กับคนทุกวัย ทุกบทบาท เพื่อให้สังคมไทยสามารถตัดสินใจทางการเมืองบนข้อมูลที่ตรวจสอบได้ และปกป้องประชาธิปไตยจากอันตรายของข้อมูลลวงในยุคดิจิทัล”

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ชี้ข่าวลวงบ่อนทำลายสังคมดิจิทัล หนุนคนรุ่นใหม่ร่วมตรวจสอบข้อมูล

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และผู้แทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่าคนรุ่นใหม่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบข่าวสารมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวลวงและข่าวบิดเบือนที่กลายเป็นปัญหาระดับโลกในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเอื้อต่อการดัดแปลง สร้าง หรือใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและสถาบันต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

“ข่าวลวงและข่าวบิดเบือนไม่เพียงสร้างความสับสนในสังคม แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อสถาบันต่าง ๆ และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกแยกหรือความรุนแรงในสังคม พร้อมระบุว่า “ข่าวลวงและข่าวบิดเบือนส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งการสร้างความสับสนในสังคม การบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อสถาบันต่าง ๆ และการส่งผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและการเมือง” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐกล่าว

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และผู้แทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และผู้แทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ในส่วนแนวทางการตรวจสอบข่าวสาร ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา แนะนำให้เริ่มจากการตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าว ความเชี่ยวชาญของผู้เขียน วันที่เผยแพร่ การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายสำนักข่าว การพิจารณาหลักฐานอ้างอิง และการใช้เว็บไซต์หรือองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ เช่น Cofact Thailand (cofact.org) และ Snopes (snopes.com) ควบคู่กับการใช้วิจารณญาณของผู้รับสาร

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และผู้แทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) และผู้แทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ขณะเดียวกัน ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา ยังกล่าวถึงมาตรการรับมือข่าวลวงในระดับนโยบาย โดยยกตัวอย่างกฎหมายป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลเท็จของประเทศสิงคโปร์ หรือ POFMA (Protection from Online Falsehoods and Manipulation Act) ซึ่งให้อำนาจรัฐในการสั่งแก้ไข ระงับ หรือปิดกั้นการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ พร้อมบทลงโทษทางกฎหมายในกรณีไม่ปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายลักษณะดังกล่าวยังมีข้อถกเถียงในประเด็นผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นความท้าทายที่สังคมประชาธิปไตยต้องหาสมดุลให้เหมาะสม

iLaw เตือนสนามเลือกตั้ง–ประชามติ 8 ก.พ. 2569 เสี่ยงข้อมูลเท็จสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ

นาย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงถึงร้อยละ 95 ว่าจะจัดขึ้นพร้อมกับการทำประชามติว่าด้วยรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยขณะนี้เหลือเวลาเพียงราว 50 วันก่อนวันลงคะแนน ถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากในการตั้งหลักรับมือกับปัญหาข้อมูลเท็จในสนามการเมืองและการตัดสินใจระดับประเทศ

“ประเทศไทยกำลังเผชิญบริบทความขัดแย้งทางการทหาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ข้อมูลเท็จถูกใช้มากที่สุด และเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนแทบไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข่าวสารได้ แตกต่างจากข่าวการเมืองทั่วไปที่ยังพอมีช่องทางค้นหาข้อเท็จจริง สังคมไทยไม่เคยมีประสบการณ์หรือบทเรียนในการรับมือกับข้อมูลลักษณะนี้มาก่อน แต่กลับต้องเผชิญการตัดสินใจสำคัญทั้งการเลือกตั้งและประชามติภายใต้บรรยากาศดังกล่าว” ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าว

นาย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)

นาย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)

ผู้จัดการโครงการ iLaw ยกตัวอย่างกรณีเอกสารของกองทัพที่เผยแพร่ในปี 2564 ซึ่งศาลปกครองมีคำพิพากษายืนยันว่าเป็นของจริง และระบุว่าการปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนที่เห็นต่างทางการเมืองเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยชี้ว่าปฏิบัติการลักษณะนี้ยังคงดำเนินอยู่และขยายตัวภายใต้บริบทความขัดแย้งในปัจจุบัน

นายยิ่งชีพยังเน้นย้ำว่า ควรแยกแยะให้ชัดเจนระหว่าง “ข่าวปลอม” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ปลอมตัวให้ดูเหมือนข่าวแต่ไม่มีเนื้อหาจริงเลย กับข้อมูลที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน รวมถึงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ควรถูกเหมารวมว่าเป็นข่าวปลอม โดยงานตรวจสอบควรมุ่งไปที่การชี้ให้เห็นข่าวปลอมอย่างแท้จริง ไม่ใช่นำข้อมูลทุกประเภทมาปะปนกัน

สำหรับการลงประชามติ นายยิ่งชีพเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางการเมืองของประเทศ โดยระบุว่า “สำหรับผมแล้ว ประชามติ 8 กุมภาพันธ์ 2569 สำคัญกว่าผลการเลือกตั้งเสียอีก แต่เราพูดถึงมันน้อยเกินไป” เนื่องจากผลประชามติจะเป็นตัวกำหนดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะยังคงใช้ต่อไปหรือไม่ และส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในระยะยาว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาในทิศทางใด

นาย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)

นาย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)

นายยิ่งชีพกล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงก่อนการลงประชามติ สังคมอาจไม่ได้เผชิญเพียงข่าวปลอมในรูปแบบข่าวทั่วไปเท่านั้น แต่ยังต้องรับมือกับการสร้างวาทกรรมและชุดคำถามที่บิดเบือนตรรกะเพื่อชี้นำความคิดของประชาชน ซึ่งเป็นรูปแบบข้อมูลที่ตรวจจับได้ยาก และจำเป็นต้องอาศัยการอธิบายอย่างละเอียดและการทำงานตรวจสอบเชิงลึกเพื่อปกป้องกระบวนการตัดสินใจของสาธารณะ

ผอ.อิศราตั้งคำถามสื่อกระแสหลัก ชี้แก้ข่าวปลอมต้องสร้างภูมิคุ้มกันประชาชน–เข้มกำกับกันเอง

นาย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา กล่าวว่าสังคมไทยมักคาดหวังให้สื่อกระแสหลักทำหน้าที่เป็นแหล่งตรวจสอบข่าวปลอมเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในทางปฏิบัติอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากสื่อหลักเองก็เคยเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะภายใต้สภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของสื่อที่ต้องเร่งสร้างยอดผู้ชมและยอดการเข้าถึงบนแพลตฟอร์มออนไลน์

นาย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา

“สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสื่อในปัจจุบัน ที่มีทีมงานเร่งนำประเด็นซึ่งกำลังได้รับความสนใจในโซเชียลมีเดียมานำเสนออย่างรวดเร็ว โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ ส่งผลให้ข่าวเท็จหรือข่าวที่ไม่ถูกต้องแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และซ้ำเติมวิกฤตความน่าเชื่อถือของสื่อ” ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา กล่าว

ผู้อำนวยการสถาบันอิศรายังชี้ว่า การแพร่กระจายข่าวเท็จในยุคดิจิทัลเกิดจากสองปัจจัยสำคัญ คือ ผู้สร้างหรือเผยแพร่ข่าว และผู้รับสารที่มักอ่านเพียงพาดหัวข่าว หรือรับข้อมูลจากการแชร์ในโซเชียลมีเดียและไลน์กลุ่มโดยไม่อ่านเนื้อหาอย่างรอบด้าน ก่อนแสดงความคิดเห็นหรือส่งต่อทันที ซึ่งแตกต่างจากยุคแรกของเว็บไซต์ข่าวที่ผู้อ่านยังมีพฤติกรรมอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดมากกว่าเดิม

นาย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา

“การแก้ปัญหาข่าวปลอมไม่ควรมุ่งเน้นเพียงการไล่จับผู้สร้างข่าวเท็จเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางข้อมูลให้กับประชาชน ลดความฉาบฉวยในการเสพข่าว และเพิ่มความอดทนในการอ่าน ตรวจสอบ และคิดวิเคราะห์ก่อนการแชร์ข้อมูล แม้ประเทศไทยจะมีองค์กรและสมาคมวิชาชีพหลายแห่ง แต่ยังขาดความเข้มงวดและความกล้าในการตักเตือนผู้กระทำผิดจริยธรรม หากการกำกับดูแลกันเองไม่จริงจังเพียงพอ อาจนำไปสู่การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมสื่อ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองในอนาคต” ผู้อำนวยการสถาบันอิศรากล่าว

สภาผู้บริโภคชวนประชาชน “ตรวจสอบมาตรฐานนักการเมือง” เลือกนโยบายยืนบนข้อมูล ไม่ใช่ผลประโยชน์กลุ่มทุน

นางสาว สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ร่วมแลกเปลี่ยนในเวทีภายใต้หัวข้อ “ตรวจสอบมาตรฐานนักการเมือง คืนได้เมื่อไม่ตรงปก” ระบุว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย ว่าจะยังคงติดอยู่ในกับดักประเทศกำลังพัฒนา หรือสามารถก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ในระยะยาว พร้อมชี้ว่าประชาชนควรใช้โอกาสนี้คัดเลือกนักการเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง การลงทุนสแกมเมอร์ หรือกลุ่มทุนสีเทา

“การประกาศนโยบายของพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องยาก แต่หัวใจสำคัญคือนโยบายต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูล หลักฐาน และองค์ความรู้ที่ชัดเจน เพื่อสนับสนุนผู้บริโภคและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่ใช่การตัดสินใจที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยย้ำว่า “นโยบายที่ดีต้องตรวจสอบได้ และต้องตอบโจทย์สาธารณะ ไม่ใช่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคกล่าว

คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค

คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค

เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคยกตัวอย่างโครงการก่อสร้างทางยกระดับสองชั้น (Double Deck) ที่ภาคเอกชนลงทุนก่อสร้างราว 35,000 ล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติประชาชนต้องเป็นผู้รับภาระผ่านการจ่ายค่าทางด่วนที่ถูกขยายระยะเวลาออกไปกว่า 22 ปี และต้องแบ่งรายได้ให้เอกชนเพิ่มขึ้น คิดเป็นเงินประมาณปีละ 7,500 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวสามารถนำไปพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น การจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 1,500 คันต่อปี หรือการอุดหนุนค่าโดยสารในอัตราเหมาจ่ายวันละ 40 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย ด้วยงบประมาณเพียงราว 8,000 ล้านบาท

“นักการเมืองและพรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางสังคม จึงจำเป็นต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจนในการใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ  จะสร้างกลไกอย่างไรให้นักการเมืองมีมาตรฐาน และสามารถถูกตรวจสอบหรือ “เรียกคืนความรับผิดชอบ” ได้ หากการดำเนินนโยบายไม่เป็นไปตามคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชน” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคกล่าว

นักจิตวิทยาเยอรมนีเตือน “ข่าวลวงฝังลึกในความคิด” เสี่ยงทำลายศรัทธาประชาธิปไตย

ศาสตราจารย์ นิโคล เครเมอร์ (Prof. Dr. Nicole Krämer) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคม สื่อ และการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัย Duisburg-Essen ประเทศเยอรมนี ร่วมแลกเปลี่ยนงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหา การบิดเบือนข้อมูล (disinformation) ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและระบอบประชาธิปไตยอย่างมีนัยสำคัญ โดยชี้ว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะบริบทการเมืองใดการเมืองหนึ่ง

ศาสตราจารย์นิโคลยกตัวอย่างกรณีข่าวลวงที่เป็นที่รู้จักในสหรัฐอเมริกา เช่น กรณี “Pizzagate” ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จที่กล่าวหาว่า ฮิลลารี คลินตัน มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการล่วงละเมิดเด็ก รวมถึงกรณีในประเทศเยอรมนีช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการส่งต่อข้อความในแอปพลิเคชัน WhatsApp อ้างว่ายารักษาอาการปวดศีรษะสำหรับเด็กเป็นอันตราย ทั้งที่แพทย์และมหาวิทยาลัยที่ถูกอ้างถึงออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจน

ศาสตราจารย์นิโคลอธิบายว่า งานวิจัยของเธอให้ความสำคัญกับคำว่า disinformation ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่ถูกบิดเบือนโดยเจตนา แตกต่างจาก misinformation ที่เป็นข้อมูลผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยผลสำรวจในยุโรปพบว่า ประชาชนจำนวนมากมองว่าข้อมูลบิดเบือนเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยโดยตรง

นักวิชาการจากเยอรมนีอ้างถึงงานศึกษาที่พบว่า ข้อมูลเท็จแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียได้เร็วและกว้างกว่าข้อมูลจริง โดยเฉพาะข่าวที่มีเนื้อหาเชิงลบ แปลกใหม่ หรือมาในรูปแบบพาดหัวสั้น ๆ ซึ่งผู้ใช้งานมักแชร์ต่อโดยไม่อ่านเนื้อหาทั้งหมด พร้อมอธิบายกลไกทางจิตวิทยาที่เรียกว่า False Information Effect หรือ Continued Influence Effect ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่ผู้คนมีแนวโน้มเชื่อข้อมูลมากขึ้นเมื่อเห็นข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ แม้จะเป็นข้อมูลเท็จก็ตาม

ศาสตราจารย์ นิโคล เครเมอร์ (Prof. Dr. Nicole Krämer) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคม สื่อ และการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัย Duisburg-Essen ประเทศเยอรมนี

ศาสตราจารย์ นิโคล เครเมอร์ (Prof. Dr. Nicole Krämer) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคม สื่อ และการสื่อสาร จากมหาวิทยาลัย Duisburg-Essen ประเทศเยอรมนี

“เมื่อข้อมูลถูกประมวลผลและฝังเข้าไปในความรู้เดิมของเราแล้ว การแก้ไขภายหลังเป็นเรื่องยากมาก แม้จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อมูลเท็จที่เคยเห็นไปแล้วอาจยังคงมีอิทธิพลต่อการรับรู้ โดยเฉพาะหากสอดคล้องกับทัศนคติหรือโลกทัศน์เดิมของบุคคลนั้น อันตรายที่ใหญ่ที่สุดของข้อมูลบิดเบือนในบริบทการเมืองคือ ความเสี่ยงที่ประชาชนจะไม่เชื่อข้อมูลใด ๆ เลย แม้แต่ข้อมูลที่ถูกต้อง” ศาสตราจารย์นิโคลกล่าว

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นิโคลกล่าวทิ้งท้ายว่า ยังมีความหวังในการรับมือกับปัญหานี้ หากประชาชนที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องได้รับการเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และความเข้าใจ พร้อมชื่นชมบทบาทของภาคประชาชนและองค์กรด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องกระบวนการประชาธิปไตยจากภัยของข้อมูลบิดเบือนในยุคดิจิทัล

สามารถรับชมเวทีทอล์กและผลงานของผู้ประกวด Fact-Check Thailand Award 2026 ทั้งหมดได้ที่ www.thaipbs.or.th/FactCheckThailand2026

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

  • ร่วมงานฟรี! “Talk for Truth” สู้ศึกเลือกตั้ง 2569 เปิดผลรางวัล Fact-Check Thailand Award 2026
    https://org.thaipbs.or.th/content/8844
  • ปิดหลักสูตรเข้มข้น “Fact-Check Thailand 2026” สร้างนักตรวจสอบข้อเท็จจริงรับมือข่าวลวงเลือกตั้ง 69
    https://org.thaipbs.or.th/content/8838

 

สารบัญประกอบ