กรณีสื่อมวลชนสาวชาวจีน น.ส.หลุ่ย แซ่กั๊ว "จีจี้" อ้างชื่อพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกรับเงิน 14 ล้านบาท จากผู้ต้องหาชาวจีนในคดีอุ้มบุญ
วันนี้ (28 พ.ค.2566) น.ส.หลุ่ย แซ่กั๊ว หรือ จีจี้ สื่อมวลชนชาวจีน ถูกตำรวจคุมตัวเข้ากองบังคับการปราบปราม เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในคดีเรียกรับหรือยอมจะรับผลประโยชน์ใดๆ เพื่อจะให้เจ้าพนักงานของรัฐกระทำการใด ที่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่หลังจากนางนวพร ผู้ต้องหาในคดีอุ้มบุญ ร้องเรียนว่า ถูกน.ส.หลุ่ย เรียกเงินแลกการช่วยเหลือทางคดีโดยการอ้างชื่อพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้กำกับดูแลคดี ซึ่งได้จ่ายเงินสด14 ล้านบาท หลังรับทราบข้อกล่าวหาได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.หลุย หรือ "จีจี้" เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เนื้อหาสำคัญ ระบุว่า ไม่เคยรู้จักนางนวพร เป็นการส่วนตัว พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า เรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นการกลั่นแกล้งจากอิทธิพลของกลุ่มจีนเทา ที่ไม่พอใจที่ตัวเองช่วยเหลือข้อมูลทางการไทย และประสานงานผู้เสียหายแจ้งความ
อ่านข่าวเพิ่ม รวบนักข่าวสาว อ้างชื่อ "บิ๊กโจ๊ก" เรียกเงินแก๊งอุ้มบุญจีนเทา 33 ล้าน
"บิ๊กโจ๊ก" ยันมีหลักฐานเอาผิด-ปัดประกันไม่เกี่ยวสนิท
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า สาเหตุที่ให้ประกันตัว ยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเคยร่วมงานกัน แต่เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบ สวน ส่วนการยืนยันความบริสุทธิ์ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา
แต่ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน ที่ชัดเจนถึงการรับเงินสด 14 ล้านบาท จากนางนวพร และเป็นคืเหตุผลสำคัญที่ศาลออกหมายจับตามที่ร้องขอ
อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ได้รับข้อมูลเรื่องพฤติกรรมของผู้ต้องหามาบ้าง จึงได้สืบสวนทางลับ จนพบว่าสามีของน.ส.หลุ่ย มีพฤติกรรมเรียกรับ โดยอ้างชื่อจริง ซึ่งได้จับกุมไปแล้วเมื่อเดือนก.พ.และขยายผลพบข้อมูลว่า ในกรณีเรียกเงินจากนางนวพร มีน.ส.หลุ่ย ร่วมด้วย
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ต่อให้เคยร่วมงานหรือเคยสนิท แต่เมื่อทำผิดกฎหมายก็ไม่ละเว้น และได้สั่งปลดจากตำแหน่งที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปรามปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว เมื่อ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา
สำหรับน.ส.หลุ่ย แซ่กั๊ว หรือ จีจี้ เป็นชาวจีน ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มานานกว่า 30 ปี เริ่มจากเข้ามาเรียน ทำงานด้านสื่อสารมวลชนและล่ามภาษา ซึ่งเข้ามามีบทบาทช่วยงานตำรวจ จากเหตุเรือนักท่องเที่ยวจีนล่ม ที่ภูเก็ตเมื่อปี 2561 เป็นต้นมา โดยปัจจุบัน ถือวีซ่า Thailand Privilege Card หรือ วีซ่าประเภทพิเศษสำหรับนักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติ