จากกรณีเรือขนส่งสินค้าสัญชาติเมียนมา ชื่อเรือ “MV.AYAR LINN” ชนแนวปะการังและเกยตื้นอยู่บนแนวปะการังบริเวณอ่าวจาก ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายเกรียงไกร เพาะเจริญ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสภาพพื้นที่ เบื้องต้นพบว่า แนวปะการังจากจุดแรกที่เรือชนไปจนถึงจุดที่เรือเกยตื้น ระยะทางรวมประมาณ 75 เมตร โดยแนวปะการังได้รับความเสียหายและแตกหัก

ภาพ : กรมอุทยานฯ
ภาพ : กรมอุทยานฯ
ชนิดปะการังที่แตกหัก-เสียหาย
- ปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) เป็นชนิดปะการังที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 80% ของปะการังทั้งหมดที่ถูกเรือชน
- ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) ได้รับความเสียหาย ประมาณ 15 % ของปะการังทั้งหมดที่ถูกเรือชน
- ปะการังโขด (Porites lutea) ได้รับความเสียหาย ประมาณ 5 % ของปะการังทั้งหมดที่ถูกเรือชน
- ปะการังสมองร่องสั้น (Platygyra daedalea) ได้รับความเสียหายค่อนข้างน้อย เกิดการแตกหักไป 4 โคโลนี
- ปะการังดอกกะหล่ำ (Pocillopora) ได้รับความเสียหายค่อนข้างน้อย เกิดการแตกหักไป 3 โคโลนี
- ปะการังดาวเหลี่ยม (Leptastrea purpurea) ได้รับความเสียหายน้อยมาก เกิดการแตกหักไป 1 โคโลนี
จุดที่ปะการังได้รับความเสียหายมากที่สุด คือ ช่วงระยะที่ 45-75 เมตร เนื่องจากเป็นจุดที่เรือเกยตื้นและติดอยู่บนเเนวปะการัง ทำให้แนวปะการังที่อยู่ใต้ท้องเรือได้รับความเสียหายแตกหัก และถูกเรือทับอยู่เกือบทั้งหมด อีกทั้งมีข้อกังวลถึงการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงภายในลงสู่ท้องทะเล

ภาพ : กรมอุทยานฯ
ภาพ : กรมอุทยานฯ
อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือแนวทางการจัดการกรณีดังกล่าว โดยมีข้อสรุปแนวทางดังนี้
- เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดำน้ำ อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ สำรวจสภาพเรือทั้งภายนอกและภายในตัวเรืออย่างละเอียด พร้อมทั้งสำรวจตำแหน่งถังน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือ เพื่อปิดวาล์วท่อรับและท่อส่งน้ำมันภายในตัวเรือ ป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิง
- อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ประสานขอสนับสนุนทุ่นกักน้ำมัน (Oil Boom) เพื่อควบคุมปริมาณน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำไม่ให้แยกออกจากกัน และไม่ไหลไปตามกระแสน้ำหากเกิดการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานเจ้าท่า จังหวัดภูเก็ต, ศรชล.ภาค 3 และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน
- อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ประสานขอสนับสนุนยานพาหนะและอุปกรณ์สำหรับการปฏิบัติภารกิจในกรณีฉุกเฉินหากเกิดการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิงในปริมาณมาก โดยขอรับการสนับสนุน “เรือหลวงปันหยี” พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ จากศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3

ภาพ : กรมอุทยานฯ
ภาพ : กรมอุทยานฯ
- เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คุระบุรี ดำเนินการตามฐานความผิดที่อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ร้องทุกข์กล่าวโทษ และสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาอย่างเข้มข้น เพื่อหาพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับเรือและการเข้าออกประเทศเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ หากพบฐานความผิดเพิ่ม จะประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป
- แนวทางการฟื้นฟูทรัพยากรใต้น้ำ อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต นักวิชาการทางทะเล และกลุ่มภาคีเครือข่ายนักดำน้ำ ร่วมกันสำรวจสภาพความเสียหายของทรัพยากรใต้น้ำอย่างละเอียด พร้อมทั้งเก็บขยะ เนื่องจากเรือดังกล่าวเป็นเรือขนส่งสินค้า จึงมีขยะจำพวกกระดาษลัง เศษผ้า ยางรถบรรทุก สายยาง และขยะอื่น ๆ ติดอยู่ตามแนวปะการัง และดำเนินการประกาศปิดพื้นที่บริเวณดังกล่าว เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติได้ฟื้นฟู
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงฤดูมรสุม ทำให้มีกระแสคลื่นลมแรง จึงมีความเสี่ยงและออกปฏิบัติภารกิจได้ในบางช่วงเวลา

ภาพ : กรมอุทยานฯ
ภาพ : กรมอุทยานฯ
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ร่วมประชุมดังกล่าวประกอบด้วย ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่ 2 จังหวัดภูเก็ต, ผศ.ดร.ทนงศักดิ์ จันทร์เมธากุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรคุระบุรี, เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจรน้ำ, เจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่า สาขาพังงา
ห่วง "ปะการังสีน้ำเงิน"
ขณะที่ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟชบุ๊ก ถึงข้อกังวลเกี่ยวกับปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) ว่า ห่วง "ปะการังสีน้ำเงิน" กรณีเรือต่างชาติเกยตื้นแนวปะการัง ที่น่าห่วงคือปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) ด้านนอกดูเหมือนปะการังปกติ แต่โครงสร้างหินปูนข้างในเป็นสีฟ้า/น้ำเงิน ดูจากภาพจะเห็นชัดเจน
ปะการังชนิดนี้ไม่ใช่ปะการังปกติ เพราะเป็นญาติกับปะการังอ่อนและกัลปังหา (octocaral) มากกว่าปะการัง (hexacoral) จะเรียกว่าเป็นปะการังอ่อนกลุ่มเดียวที่สร้างโครงสร่างแข็งเป็นหินปูนก็ว่าได้
ดร.ธรณ์ อธิบายว่า ปะการังสีน้ำเงินเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ยังคงมีชีวิต ลักษณะคล้ายเดิมตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ (70-60 ล้านปีก่อน) แทบไม่เปลี่ยนไปเลย ปะการังชนิดนี้พบเฉพาะเขตอินโดแปซิฟิกและพบบางที่เท่านั้น ในเมืองไทยที่พอมีเป็นดง คือ เกาะสิมิลัน เกาะตาชัย และเกาะสุรินทร์ แต่ไม่ได้มีมากทุกอ่าว ซึ่งเกาะสุรินทร์พบมากที่อ่าวจาก และเกาะสต๊อร์ค

ภาพ : กรมอุทยานฯ
ภาพ : กรมอุทยานฯ
หากจะบอกว่าในทะเลไทยยุคนี้ มี “ดงปะการังสีน้ำเงิน” เหลืออยู่ไม่เกิน 10 แห่ง พูดได้เต็มปากครับ
ขณะที่ในระดับโลก ปะการังสีน้ำเงินก็หายากเช่นเดียวกัน ถึงขั้นที่สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ตั้งสถานภาพให้ว่าถูกคุกคาม
ดร.ธรณ์ ยังระบุว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 9 ปีก่อน กรรมการที่ปรึกษาอุทยานฯ ตัดสินใจเสนอปิดเกาะตาชัย หลังปะการังสีน้ำเงินเสียหายรุนแรง พร้อมเสนอการประเมินมูลค่าและวางแผนการฟื้นฟูต้องใช้ความรอบคอบ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูแนวปะการังปกติทั่วไปนั้น ไม่ได้รวมปะการังสีน้ำเงิน เพราะไม่เคยปลูกหรือฟื้นฟูปะการังชนิดนี้ ด้วยเหตุผลว่าทำได้ยากมาก ๆ และโตช้ามาก ๆ
ที่เสียหาย คือ ปะการังสีน้ำเงิน สุดยอดปะการังหายาก ปะการังโบราณ ขึ้นบัญชีระดับโลก และแทบหาไม่ได้ในไทย ดีใจที่ท่าน รมต. กรมอุทยานฯ ให้ความสำคัญและรีบประเมินความเสียหาย แต่อยากให้ข้อมูลเพิ่มในส่วนนี้เพื่อการประเมินมูลค่าและการฟื้นฟูจะได้วางแผนให้รอบคอบ
อ่านข่าว : ไขคำตอบ ช้างป่าเขาใหญ่ "พลายเบี่ยงเล็ก" บุกร้านค้า