เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2568 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ เปิดเผยผ่านทรูธโซเชียลว่า การพูดคุยทางโทรศัพท์กับ สี จิ้นผิง ปธน.จีน เป็นไปอย่างดีมาก โดยได้มีการหารือกันถึงความซับซ้อนบางประการของข้อตกลงการค้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่งทำไปและตกลงกันไว้ การสนทนานี้กินเวลานานประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที และได้ข้อสรุปในเชิงบวกมากสำหรับทั้ง 2 ประเทศ และไม่ควรมีคำถามใด ๆ เกี่ยวกับความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์แร่แรร์เอิร์ธอีกต่อไป ซึ่งทีมงานของทั้ง 2 ประเทศจะประชุมกันในเร็ว ๆ นี้ ฝั่งสหรัฐฯ จะมี สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โฮวาร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และ เจมีสัน เกรียร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เป็นตัวแทน
ในระหว่างการสนทนา ผู้นำจีนยังได้ออกปากเชื้อเชิญสุภาพสตรีหมายเลข 1 และผู้นำสหรัฐฯ ไปเยือนจีน และเขาก็ตอบรับคำเชิญนั้น ซึ่งในฐานะประธานาธิบดีของ 2 ประเทศที่ยิ่งใหญ่ ผู้นำทั้งสองตั้งตารอที่จะทำสิ่งนี้ นอกจากนี้ผู้นำสหรัฐฯ ยังระบุว่า การสนทนาครั้งนี้เน้นไปที่การค้าเกือบทั้งหมด ไม่มีการหารือใด ๆ เกี่ยวกับรัสเซีย-ยูเครน หรืออิหร่าน และเขาจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบเกี่ยวกับกำหนดการและสถานที่ของการประชุมในเร็ว ๆ นี้

ขณะที่สำนักข่าวซินหัวของจีน เปิดเผยว่า ผู้นำจีนได้บอกกับผู้นำสหรัฐฯ ว่าควรถอนมาตรการเชิงลบที่มีต่อจีน และผู้นำจีนยังระบุอีกว่า จีนรักษาสัญญาเสมอมา และเนื่องจากได้ฉันทามติแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายควรปฏิบัติตาม ซึ่งหมายถึงข้อตกลงล่าสุดระหว่าง 2 ประเทศที่บรรลุกันในการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์
"สี" เตือนสหรัฐฯ สงวนท่าทีประเด็นไต้หวัน
นอกจากนี้ผู้นำจีนยัง เตือนสหรัฐฯ ว่าควรจัดการกับประเด็นไต้หวันด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ซึ่งท่าทีนี้ของผู้นำจีนมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า จีนเป็นภัยคุกคามต่อไต้หวันและเอเชีย
การสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำจีน เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายรอคอยกันมานาน และเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำทั้งสอง ไม่ได้พูดคุยกันมานานหลายเดือนซึ่งก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวได้มีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองอาจได้พูดคุยกันตั้งแต่สัปดาห์แรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์
ขณะที่เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้มีการโพสต์ข้อความเชิงระบายความในใจว่า เขาชอบ ปธน.สี จิ้นผิง ของจีนเสมอมา และจะชอบตลอดไป แต่ผู้นำจีนเป็นคนใจแข็งมากและทำข้อตกลงด้วยยากมาก

ภาษีทรัมป์พ่นพิษทำยอดส่งออก-นำเข้าในสหรัฐฯ ร่วง
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์พานิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า การซื้อสินค้าจากคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ เช่น แคนาดาและจีน ลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2563-2564 ซึ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ลงเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการปรับลดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
ขณะที่ยอดนำเข้าสินค้ามายังสหรัฐฯ ร่วงลงร้อยละ 20 ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการลดลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบต่อการค้าอย่างฉับพลัน หลังจากที่บริษัทต่าง ๆ เร่งนำสินค้าเข้ามาในประเทศเมื่อช่วงต้นปี เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์ ด้าน Oxford Economics ชี้ว่า รายงานการค้าเดือน เม.ย. บ่งชี้ว่า ผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรได้มาถึงแล้วอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่กลับเข้ารับตำแหน่งวาระที่ 2 ในเดือน ม.ค. ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการในอัตราพิเศษ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์จากต่างประเทศ และเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าขั้นต่ำจากคู่ค้าทั่วโลกในอัตราร้อยละ 10
ขณะที่เม็กซิโก มาตรการเรียกเก็บภาษีของผู้นำสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ ลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว
ส่วนแคนาดา การขาดดุลการค้าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว โดยขยายตัวเป็น 7,100 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือประมาณ 169,000 ล้านบาท เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
ขณะที่ตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังแสดงให้เห็นว่า มีสินค้าเพียงไม่กี่ประเภทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยการนำเข้ารถยนต์ส่วนบุคคลลดลง 1 ใน 3 ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ส่วนผลิตภัณฑ์ยาก็ได้รับผลกระทบ และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ก็ลดลงเช่นกัน รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ งานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และเครื่องแต่งกาย
ตามรายงานยังระบุว่า การนำเข้าจากเวียดนามและไต้หวันพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากมีการระงับการจัดเก็บภาษี ซึ่งแม้ว่าการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จะลดลงอย่างมากทุกเดือน แต่โดยรวมแล้วในช่วง 4 เดือนแรกของปียังคงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การส่งออกในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2567
ส่วนการขาดดุลสินค้าและบริการโดยรวมในเดือน เม.ย. อยู่ที่ 61,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ลดลงจาก 138,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ต่ำกว่า 4,500,000 ล้านบาท
อ่านข่าวอื่น :
สร้างความหวังจากความโกลาหล กลยุทธ์สื่อสารที่ "ผู้นำ" ต้องรู้