ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง จากอดีตที่เคยเป็นมิตรที่ร่วมมือกันอย่างลับ ๆ สู่ความขัดแย้งที่รุนแรงและเปิดเผยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ซึ่งเปลี่ยนอิหร่านให้กลายเป็นปฏิปักษ์ทางอุดมการณ์ของอิสราเอลอย่างถาวร ความตึงเครียดนี้ได้ขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ จากสงครามตัวแทน สู่ปฏิบัติการลับ และในที่สุดก็ปะทุขึ้นเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าที่เคย และนี่คือเรื่องราวความสัมพันธ์อิหร่าน-อิสราเอล จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ก่อนปี 1979 เพื่อนสนิทที่ปิดบัง
ย้อนกลับไปก่อนปี 1979 สมัยที่อิหร่านยังอยู่ภายใต้การปกครองของ "พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี" ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลนั้นเป็นไปด้วยดีและมีความร่วมมือกันอย่างลับ ๆ ทั้งในด้านการค้า การทหาร และแม้แต่การใช้พลังงาน อิหร่านในเวลานั้นคือผู้จัดหาน้ำมันรายใหญ่ให้กับอิสราเอล และมีการขนส่งน้ำมันไปยังตลาดยุโรปผ่านท่อส่งน้ำมันร่วมกันที่เชื่อมต่อเมืองเอลัตและอัชเคลอน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าทั้ง 2 ประเทศมีความร่วมมือทางทหารและโครงการลับ ๆ มากมาย ตัวอย่างที่สำคัญคือ "โครงการฟลาวเวอร์" (Project Flower) ในช่วงปี 1977-1979 ซึ่งเป็นความพยายามร่วมกันในการพัฒนามิสไซล์รุ่นใหม่ อิสราเอลในยุคของ นายกฯ เดวิด เบน-กูเรียน ได้ดำเนินนโยบายที่เรียกว่า "หลักการปริมณฑล" (Periphery Doctrine) ซึ่งเป็นการแสวงหาความสัมพันธ์กับรัฐที่ไม่ได้เป็นอาหรับที่อยู่ "ขอบนอก" ของตะวันออกกลาง เช่น เอธิโอเปีย ตุรกี และอิหร่าน เพื่อลดการโดดเดี่ยวในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีในระดับรัฐบาล แต่เมื่อสหประชาชาติเสนอแผนแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ในปี 1947 อิหร่านก็เป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านแผนนี้ เพราะกังวลว่ามันจะนำไปสู่ความรุนแรงที่บานปลายในภูมิภาค พระเจ้าชาห์เองก็คาดการณ์ว่าการแบ่งแยกนี้จะนำไปสู่การต่อสู้กันนานหลายชั่วอายุคน
ปี 1979 จุดที่เปลี่ยนทุกอย่างอย่างสิ้นเชิง
แล้ววันหนึ่ง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเกิดการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 จุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ตะวันออกกลาง เมื่อ อยตุลลอฮ์ รูฮอลลอฮ์ โคมัยนี นำการล้มล้างระบอบกษัตริย์ชาห์ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ และอิสราเอล
การปฏิวัตินี้เปลี่ยนอิหร่านจากรัฐฆราวาสที่เป็นมิตรกับตะวันตก เป็นสาธารณรัฐอิสลามที่ยึดหลักการปกครองโดยนักบวช (Velayat-e Faqih) โคมัยนีมองว่าระบอบชาห์เป็นหุ่นเชิดของชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเขาเรียกว่า "มารร้ายใหญ่" (Great Satan) และอิสราเอลเป็น "มารร้ายเล็ก" หรือ "เนื้อร้าย" (malignant tumor) ที่ต้องกำจัด
ทันทีที่ขึ้นครองอำนาจ รัฐบาลใหม่ของอิหร่านก็ประกาศไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอลในฐานะรัฐ และตัดความสัมพันธ์ทางการทูต การค้า และความสัมพันธ์อื่น ๆ ทั้งหมด
เหตุผลที่อิหร่านมองอิสราเอลเป็น "เนื้อร้าย" เป็นภัยคุกคามต่อโลกอิสลาม มีเหตุผลหลัก 3 ประการ ได้แก่
- มุมศาสนา อิหร่านเชื่อว่าการก่อตั้งอิสราเอลในปี 1948 เป็นการยึดครองดินแดนมุสลิม (ปาเลสไตน์) โดยเฉพาะนครเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม โคมัยนีเรียกอิสราเอลว่า "ระบอบไซออนิสต์" ที่รุกรานและกดขี่ชาวปาเลสไตน์ ซึ่งขัดต่อหลักความยุติธรรมในอิสลาม
- มุมการเมือง อิหร่านมองอิสราเอล เป็นตัวแทนของลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตกและเป็นเครื่องมือของสหรัฐฯ ในการควบคุมตะวันออกกลาง โคมัยนีเชื่อว่าอิสราเอลถูกใช้เพื่อแบ่งแยกและอ่อนแอชาติอิสลาม
- อิหร่านต้องการส่งออกอุดมการณ์ปฏิวัติ โดยการโดดเดี่ยวอิสราเอล กลายเป็นเครื่องมือในการปลุกใจมวลชนมุสลิมทั่วโลกให้รวมตัวต่อสู้กับ "ศัตรูร่วม" เขาจึงก่อตั้ง "วันกุดส์" (Quds Day) ในปี 1979 เพื่อประท้วงอิสราเอลและสนับสนุนปาเลสไตน์ทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน
ปี 1980-1988 คู่อริมีศัตรูคนเดียวกัน
เรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ ปี 1980-1988 เกิดสงครามระหว่างอิรัก-อิหร่าน แม้จะประกาศเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน แต่ในช่วงสงครามอิรัก-อิหร่านที่ยืดเยื้อมานานถึง 8 ปี อิสราเอลกลับแอบให้การสนับสนุนอิหร่านอย่างลับ ๆ อิสราเอลมองว่าอิรักภายใต้ "ซัดดัม ฮุสเซน" เป็นภัยคุกคาม และการที่อิหร่านอ่อนแอลงเกินไปก็ไม่ใช่ผลดี
อิสราเอลได้ขายอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ให้กับอิหร่าน รวมถึงปืนต่อต้านรถถัง กระสุนปืนใหญ่ อะไหล่สำหรับเครื่องยนต์รถถังและเครื่องบินรบ เช่น เครื่องบิน F-4 Phantom ที่สหรัฐฯ ผลิต อิหร่านชำระค่าอาวุธเหล่านี้ด้วยน้ำมันที่ส่งไปยังอิสราเอล นอกจากนี้ อิสราเอลยังให้การสนับสนุนทางทหารด้วยการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ Osirak ของอิรักใกล้กรุงแบกแดดในปี 1981
1980-2000 ทศวรรษแห่ง "แกนแห่งการต่อต้าน"
ต่อมาอิหร่านเริ่มใช้กลยุทธ์ "การป้องกันแนวหน้า" โดยการสร้างและสนับสนุนเครือข่ายกลุ่มติดอาวุธตัวแทนที่เรียกว่า "แกนแห่งการต่อต้าน" (Axis of Resistance) เพื่อขยายอิทธิพลและท้าทายอิสราเอลจากภายนอกพรมแดน กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
- ฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ก่อตั้งในเลบานอนต้นทศวรรษ 1980 ด้วยการสนับสนุนจากอิหร่าน กลายเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของอิสราเอลบนพรมแดนทางเหนือ
- ฮามาส (Hamas) และ กลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (PIJ) ในฉนวนกาซา
- กองกำลังติดอาวุธชีอะห์ในอิรักและซีเรีย อิหร่านพยายามสร้างฐานที่มั่นทางทหารในซีเรียเพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มพันธมิตร
- กลุ่มฮูตี (Houthis) ในเยเมน ทำให้อิหร่านสามารถรักษาระยะห่างจากการเผชิญหน้าโดยตรง
2000-2010 ทศวรรษแห่ง "สงครามเงา"
ในช่วงเวลานี้ ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลได้กลายเป็น "สงครามเงา" ที่เต็มไปด้วยปฏิบัติการลับ การโจมตีทางไซเบอร์ และการลอบสังหาร
- โจมตีทางไซเบอร์ ในปี 2010 อิหร่านพบหนอนคอมพิวเตอร์ชื่อ "Stuxnet" ซึ่งเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าพัฒนาโดยสหรัฐฯ และอิสราเอล เพื่อโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่นาตานซ์ของอิหร่าน การโจมตีนี้สร้างความเสียหายอย่างมาก และนับเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ต่อเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่เปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรก
- ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา มีการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่านเกิดขึ้นหลายครั้ง อิหร่านและสื่อตะวันตกเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของ "มอสสาด" หน่วยข่าวกรองของอิสราเอล
- ขัดขวางการขนส่งอาวุธ อิสราเอลยังคงสกัดกั้นการขนส่งอาวุธของอิหร่านที่มุ่งหน้าไปยังกลุ่มพันธมิตรในภูมิภาค เช่น ในปี 2014 กองทัพเรืออิสราเอลได้สกัดกั้นเรือบรรทุกสินค้า Klos-C ซึ่งอิสราเอลระบุว่าอิหร่านใช้ในการลักลอบขนส่งจรวดพิสัยไกลไปยังกาซา
ปี 2011 "ซีเรีย" สมรภูมิสำคัญสงครามตัวแทน
เมื่อสงครามกลางเมืองซีเรียปะทุขึ้นในปี 2011 ซีเรียก็กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่อิหร่านและอิสราเอลมาเผชิญหน้ากันโดยตรง อิหร่านเข้าหนุนหลังรัฐบาลอัสซาดอย่างเต็มที่ โดยมองว่าซีเรียเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด อิหร่านได้พยายามสร้างฐานทัพถาวรและส่งกำลังทหารจำนวนมากเข้าไปในซีเรีย โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างเส้นทางเชื่อมต่อจากเตหะรานไปยังดามัสกัสและชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
อิสราเอลมองว่านี่คือภัยคุกคามร้ายแรง และได้ดำเนินปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายของอิหร่านและฮิซบอลเลาะห์ในซีเรียแทบทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านเสริมสร้างกำลังทหารและการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ขั้นสูงไปยังฮิซบอลเลาะห์ใกล้ชายแดนอิสราเอล การโจมตีเหล่านี้บางครั้งก็ได้รับการยืนยันจากอิสราเอลอย่างเปิดเผย ซึ่งแตกต่างจากนโยบายเดิมที่มักจะเก็บงำเป็นความลับ
ปี 2023 "สงครามกาซา" ชนวนความรุนแรง
มาถึงปี 2023 เหตุการณ์ก็ยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้นอีก เมื่อกลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่ในวันที่ 7 ต.ค.2023 เหตุการณ์นี้เป็น "โอกาสสำคัญครั้งแรก" ที่อิหร่านได้ท้าทายอิสราเอลในหลายแนวรบ แม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรงว่าอิหร่านมีส่วนร่วมในการวางแผนการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. แต่แหล่งข่าวบางแห่งก็ระบุว่าอิหร่านให้ความช่วยเหลือฮามาสในการวางแผนการโจมตีเป็นเวลาหลายสัปดาห์
อิหร่านมองว่าสงครามในกาซาเป็นโอกาสที่จะเพิ่มการประสานงานระหว่างองค์กรก่อการร้ายปาเลสไตน์ ฮามาส และญิฮาดอิสลาม แนวคิด "การหลอมรวมสมรภูมิ" (Convergence of the Arenas) ของอิหร่านถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการป้องปรามอิสราเอลและเพิ่มประสิทธิภาพของกองกำลังต่อต้านอิสราเอลในสงครามในอนาคต ซึ่งรวมถึงฮามาสในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์, ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและซีเรียใต้, กองกำลังติดอาวุธชีอะห์ในอิรัก และกลุ่มฮูตีในเยเมน สิ่งนี้ทำให้ความกังวลเรื่องสงครามระดับภูมิภาคยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
แล้วกลุ่มฮูตีก็ขยายความขัดแย้งด้วยการยิงมิสไซล์โจมตีดินแดนอิสราเอล นอกจากนี้ ยังมีรายงานการจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวอิหร่านที่เชื่อมโยงกับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามในไซปรัส ซึ่งวางแผนจะโจมตีชาวอิสราเอล และมีการประหารชีวิตสายลับที่ทำงานให้มอสสาดในอิหร่าน
ปี 2024 จากสงครามเงาสู่การเผชิญหน้าโดยตรง
ในที่สุด ความสัมพันธ์ก็ก้าวเข้าสู่บทใหม่ที่อันตรายยิ่งขึ้น
- 1 เม.ย. อาคารสถานกงสุลอิหร่านที่อยู่ติดกับสถานทูตอิหร่านในกรุงดามัสกัส ซีเรีย ถูกโจมตีทางอากาศโดยอิสราเอล เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามเสียชีวิต 16 คน รวมถึงนายพลโมฮัมหมัด เรซา ซาเฮดี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการอาวุโสของกองกำลังคุดส์ อิสราเอลไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ
- 13 เม.ย. อิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงโดรนและมิสไซล์จำนวนมากโจมตีอิสราเอลโดยตรง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การโจมตีนี้กระตุ้นให้อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีเป้าหมายในดินแดนอิหร่านในวันที่ 19 เม.ย.
- 31 ก.ค. ผู้นำทางการเมืองของฮามาส อิสมาอิล ฮานิเยห์ ถูกลอบสังหารในกรุงเตหะราน โดยกองทัพอิสราเอล
- 27 ก.ย. ฮัสซัน นาสรัลลอฮ์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ ก็ถูกสังหารในกรุงเบรุต โดยอิสราเอล อิหร่านถือว่านี่เป็นการข้ามเส้นแบ่งที่สำคัญ
- 19 ต.ค. อิหร่านยิงมิสไซล์กว่า 180 ลูกโจมตีอิสราเอล เป้าหมายรวมถึงที่พักของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูด้วย
- 27 ต.ค. อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีระบบป้องกันมิสไซล์ในภูมิภาคอิสฟาฮานของอิหร่าน สื่ออิหร่านรายงานว่าเกิดระเบิดหลายครั้งในเตหะรานและที่ฐานทัพทหารใกล้เคียง
Operation Rising Lion การตอบโต้ครั้งล่าสุด
มิ.ย.2025 อิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ในอิหร่าน Operation Rising Lion การโจมตีนี้มีเป้าหมายเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน โรงงานผลิตมิสไซล์ และผู้นำทางทหาร มีรายงานการเสียชีวิตของนายพลฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชื่อดัง
อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีอิสราเอลอีกครั้ง โดยพุ่งเป้าไปที่พื้นที่เทลอาวีฟและเมืองไฮฟาทางตอนเหนือ การโจมตีนี้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อโรงไฟฟ้าและโรงกลั่นน้ำมันในไฮฟา ทำให้มีผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ยังมีรายงานการโจมตีอาคารสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลอิหร่านในเตหะรานด้วย
โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านคือหัวใจของความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์ อิสราเอลเชื่อว่าหากอิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์สำเร็จ จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการคงอยู่ของตน อิหร่านยืนกรานว่าโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติ เช่น การผลิตพลังงานและการแพทย์ แต่เคยมีคำกล่าวจากผู้นำบางคนว่าอาจพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม
อิสราเอลได้ขู่ว่าจะโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
กลุ่มประเทศ P5+1 (สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี) ได้พยายามเจรจาเพื่อควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 (JCPOA) ได้นำไปสู่การระงับปฏิบัติการลับบางอย่างของอิสราเอลเป็นการชั่วคราว แต่การถอนตัวของสหรัฐฯ จากข้อตกลงในปี 2018 ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง กลุ่มล็อบบี้อิสราเอลในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ AIPAC มีอิทธิพลอย่างมากในการผลักดันให้รัฐสภาคองเกรสออกกฎหมายคว่ำบาตรอิหร่าน และคัดค้านข้อตกลงทางการทูต
ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ภูมิภาคตกอยู่ในความไม่มั่นคงอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกังวลว่าความขัดแย้งนี้อาจบานปลายไปสู่สงครามระดับภูมิภาคเต็มรูปแบบ ซึ่งจะดึงดูดมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ รัสเซีย และจีน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้อิหร่านเจรจาเพื่อลดความขัดแย้ง "ก่อนที่จะสายเกินไป" ขณะที่ ปธน.มาซูด เปเซชคีอัน ของอิหร่านยังคงยืนยันว่าประเทศตน "ไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์"
แหล่งข้อมูล : Radio New Zealand, Red Lines Crossed: Iran, Israel, and the Global Consequences of Regional War , ABPLive, Aljazeera, Wikipedia