ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สงครามปิดด่าน "ไทย-กัมพูชา" เคราะห์ซ้ำการค้า "ตะเข็บชายแดน"

เศรษฐกิจ
17:56
642
สงครามปิดด่าน "ไทย-กัมพูชา" เคราะห์ซ้ำการค้า "ตะเข็บชายแดน"
อ่านให้ฟัง
15:40อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

คำสั่งปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านกองกำลังบูรพา บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทั้งจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนชายแดนและตลอดแนวทั้ง 18 แห่งในพื้นที่ 7 จังหวัด ยังคงสร้างความวิตกกังวลและสับสนให้กับประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง หลังสมเด็จ ฮุนเซ็นฯ ประธานวุฒิ สภา กัมพูชา ตอบโต้จะปิดด่านในประเทศตนเอง 24 ชม. เพื่อกดดันรัฐบาลไทยเปิดด่าน เพื่อเตรียมขนแรงงานกว่า 5 แสนคนกลับประเทศ

 แม้ว่าด่านถาวร 5 ด่านที่อยู่ในความดูแลของกรมศุลกากรไม่มีปิด แต่จุดผ่อนปรนแม้จะปิดแต่ยังเปิดช่องให้ผู้คนสามารถเดินทางข้ามผ่านแดนได้ตามช่วงเวลาที่ประกาศไว้ ยกเว้นสินค้า ซึ่งจะไม่สามารถผ่านได้ แน่นอนผลกระทบที่ตามมาจะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่สามารถขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่อนปรมได้

ภาคเอกชนหนุนรักษา "อธิปไตย" ชี้ส่งออกมีหลายช่องทาง

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ท่าทีของหอการค้าไทย สนับสนุนความถูกต้องยึดความมั่นคงและอธิปไตย ซึ่งภาคเอกชนโดยรวมยังไม่กังวลต่อการค้าและการลงทุนโดยภาพรวม เนื่องจากการส่งออกของไทยมีหลายช่องทาง อีกทั้งประเทศติดชายแดนไทยสินค้าไทยยังเป็นที่นิยมและผุ้บริโภคติดแบรนด์สินค้าไทย ด้านแรงงานสามารถหาแรงงานอีกหลายประเทศมาทดแทน ส่วนที่ได้ผลกระทบโดยตรง ที่น่าห่วง คือ การค้ารายย่อยๆ ที่มีการค้ารายวันตามชายแดน

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทยกับกัมพูชา ว่า กรมฯติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการประชุมหารือกับตัวแทนหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ซึ่งหากสถานการณ์หน้าด่านชายแดนติดกับกัมพูชายังผันผวนยืดเยื้อ ก็จะประชุมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ภาคเอกชนยังยืนยันว่าการขนส่งสินค้าโดยภาพรวมยังปกติ อาจมีบางช่วงที่มีติดในเรื่องเวลาเปิดหรือปิด แต่หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ภาคเอกชนอาจต้องมีการปรับการบริหารจัดการเรื่องขนส่ง ส่วนตัวเลขการค้าชายแดนอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

“ค้าภายใน” เร่งกระจายผลไม้สู่ รับมือสปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯติดตามสถานการณ์การค้าในภาคตะวันออก ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรที่อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลไม้ โดยเฉพาะในพื้นที่จ.จันทบุรี พบว่า การซื้อขายยังเป็นปกติ การส่งออกทุเรียนและมังคุดคัดเกรดไปจีนสามารถส่งออกได้ และอยู่ในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวคาดว่าผลผลิตจะหมดภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้

ขณะนี้การใช้ด่านหลักสองแห่ง ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม ต.เทพนิมิต และจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาต ต.คลองใหญ่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี เป็นเพียงจุดกระจายผลไม้ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อมีการปิดด่าน ผลไม้ไทยที่จะเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านมีปริมาณไม่มากนัก

โดย กรมฯได้เร่งเข้าไปประสานในพื้นที่ เพื่อนำออกกระจายนอกแหล่งผลิต ภายในประเทศ โดยตลาดภายในประเทศสามารถรองรับผลผลิตในส่วนนี้ได้เพื่อช่วยระบายผลผลิตและรักษาเสถียรภาพราคา

ข้อกังวลของเกษตรกรหรือประชาชนจากเหตุการความไม่สงบบริเวณชายแดนของกัมพูชา กรมฯมีการติดตามสถานการณ์การค้าขายอย่างใกล้ชิด และเตรียมแผนรองรับผลผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาให้เกษตรกร

สัญญาณชัด "เศรษฐกิจไทย" ไม่เสียเปรียบเพื่อนบ้าน

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ เดือนเม.ย. 2568) แรงงานกัมพูชาที่ถูกกฎหมายในไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 515,350 คน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14% ของแรงงานต่างด้าวเพื่อนบ้านใน 3 สัญชาติหลัก คือ เมียนมา 2.994 ล้านคน หรือ 79% และ ลาว 282,000 คน

หากรวมแรงงานผิดกฎหมาย คาดว่าแรงงานกัมพูชาทั้งหมดในไทยอาจสูงถึงประมาณ 800,000 คน การที่รัฐบาลกัมพูชาบอกว่าจะดึงคนกลับง่ายๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแรงงานกลุ่มนี้ส่งเงินกลับประเทศคิดเป็นอัตราขั้นต่ำค่าแรงครึ่งหนึ่งประมาณ 43,600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ หากแรงงานกัมพูชากลับไปจะไม่มีงานทำและจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญของกัมพูชาเอง

แรงงาน 3 สัญชาติไม่ได้แย่งอาชีพคนไทย แต่มาทำงานที่คนไทยไม่ทำ เช่น ก่อสร้าง ประมง เกษตรกรรม และบางส่วนในภาคอุตสาหกรรม

รองประธานองค์การนายจ้างฯ กล่าวอีกว่า ไทยจำเป็นต้องเตรียมรับมือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เสียเปรียบ เช่น การเตรียมเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่นเข้ามาทดแทนได้ทันที หากกัมพูชาดึงแรงงานกลับต้องเตรียมรับแรงงานจากประเทศอื่น เช่น บังกลาเทศ ซึ่งมีแรงงานในมาเลเซียเป็นล้านคน รวมถึงเวียดนามและอินเดีย โดยต้องทำการสำรวจความต้องการแรงงานอย่างจริงจังในระยะสั้นเพื่อสร้างกระแสให้ชัดเจน

รัฐบาลไทยต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าไม่พึ่งพากัมพูชาพร้อมเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งระยะยาวรัฐบาลต้องเข้มข้นการใช้เทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานคน

มาตรการ"ฮุนเซ็น" ประกาศปิดด่าน กระทบผู้ค้ารายย่อย

ทั้งนี้ ปี 2567 ไทยส่งออกไปกัมพูชาประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นค้าชายแดน 1.4 แสนล้านบาท ซึ่ง 7 จังหวัดไทยติดชายแดนกัมพูชา ได้แก่ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ที่มีด่านถาวรรวม 18 ด่าน

ข่าวการปิดด่านจะเป็นในส่วนจุดผ่านแดน ซึ่งสินค้าไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งออกผ่านจุดนั้น แต่อาจมีผลกระทบบ้างต่อผู้ประกอบรายย่อยที่ค้าขายบริเวณนั้น ซึ่งไม่มากเพราะเป็นการปรับเปลี่ยนระยะเวลา เปิดปิดชั่วคราวช่วงสั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลปี 2567 ด่านที่สำคัญในการค้าชายแดนและผ่านแดน มี 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จ.สระแก้ว มูลค่าการค้า 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน63.4% ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด มูลค่าการค้า 29,289 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.8% และด่านศุลกากรจันทบุรี จ.จันทบุรี มูลค่าการค้า 26,621 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน15.3% ซึ่งหากมีการปิดจุดผ่านแดนทั้ง 3 จังหวัด จะกระทบมูลค่าการค้าชายแดนไทย – กัมพูชา กว่า95%

จุดผ่านแดนไทย - กัมพูชา มีทั้งหมด 18 แห่ง ใน 7 จังหวัด คือ จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี แบ่งเป็น จุดผ่านแดนถาวร 8 แห่ง จุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง และจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง ปัจจุบัน เปิดทำการอยู่ 16 แห่ง และปิดทำการ 2 แห่ง คือ จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหมื่นด่าน จ.ตราด และจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยวช่องทางขึ้นเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ

มั่นใจ "สินค้าไทย" แชมป์ครองใจ ประชาชนกัมพูชา 

สำหรับสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังกัมพูชา 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1. เครื่องดื่มอื่นๆ (เช่น นม UHT, นมถั่วเหลือง, เครื่องดื่มไม่อัดลมอื่นๆ) มูลค่า 2,665 ล้านบาท 2. น้ำแร่น้ำอัดลมที่ปรุงรส (เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม) มูลค่า 1,757 ล้านบาท 3. เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ มูลค่า 1,863 ล้านบาท 4.ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์1,616 ล้านบาท และ 5. สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่นๆ (เช่น กาแฟที่ผสมได้ทันที นมผง บุหรี่)มูลค่า 1,371 ล้านบาท

ขณะที่สินค้าที่ไทยนำเข้าที่5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1. ผักและของปรุงแต่งจากผัก (เช่น ดรายชิพ หัวมันสำปะหลัง) มูลค่า 5,874 ล้านบาท 2. เศษของอะลูมิเนียม มูลค่า 2,777 ล้านบาท 3. ลวดและสายเคเบิลที่หุ้มฉนวน มูลค่า 1,101 ล้านบาท 4. ผลิตภัณฑ์ทำจากอะลูมิเนียม มูลค่า 576 ล้านบาท และ 5. ส่วนประกอบและอุปกรณ์รวมทั้งโครงรถและตัวถังมูลค่า 533 ล้านบาท

ทัวร์ไทย ลูกค้าอันดับ 1 เที่ยวเมืองเขมร

ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่าคนไทยเดินทางไปเที่ยวในกัมพูชามากเป็นอันดับ 1 หรือ 32 % ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และในช่วง 3 เดือนของปี2568 (ม.ค.-มี.ค.) พบว่าคนไทยเดินทางเข้ากัมพูชามากถึง 500,000 คน หรือขยายตัว 20%

สวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวกัมพูชาที่เดินทางเข้าไทยมีเพียง 1% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามีนักท่องเที่ยวกัมพูชามาไทยเพียง 200,000 คนเท่านั้นลดลง 14% ซึ่งปี2567 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวของคนกัมพูชา อยู่ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวกว่าแสนล้านบาท ถือว่าเป็นเพียงส่วนน้อย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยเผชิญหลายปัจจัยลบ คาดทั้งปี 2568 หดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี หรือมีจำนวน 34.5 ล้านคนข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ชาวต่างชาติเที่ยวไทยมีจำนวน 12.9 ล้านคน หดตัว 1% ขณะที่คาดว่ารายได้ท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 2% หรือมีมูลค่าประมาณ 613,168 ล้านบาท

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนก.พ. 2568 จากหลายปัจจัยลบ ได้แก่ ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หลังเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้นกับดาราจีน ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทำให้ทางการมาเลเซียออกประกาศ เตือนชาวมาเลเซียให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ภาคใต้ของไทย แผ่นดินไหวในเมียนมาและไทย ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มเลื่อนการเดินทางมาไทย

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ชาติที่มีแผนเดินทางมาเที่ยวไทย ปัจจัยด้านเศรษฐกิจหลายประเทศที่ชะลอตัวกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยว ท่ามกลางปัจจัยลบที่มากขึ้น ทำให้คาดว่าชาวต่างชาติเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มที่อาจลดลงต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินในช่วงต้นปี โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่หดตัว อาทิ จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียน่าจะยังขยายตัวได้ กรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานเกิดขึ้นอีก

สำหรับตลาดที่มองว่ายังเติบโต หลักๆ มาจากนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป อาทิ รัสเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสายการบินยุโรปมีการขยายเส้นทางการบินตรงและเพิ่มความถี่มาไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตลาดเหล่านี้ น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะจีนได้

ส่วน รายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติกระจายสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2567 สำหรับการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 47,000 บาทต่อคนต่อทริป หดตัวเล็กน้อยที่ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนโควิด)

เนื่องจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม Young Traveler และกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง รวมถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นอย่างการปรับลดการซื้อของที่ระลึก การใช้บริการร้านอาหารแบบคนท้องถิ่นอย่างการเลือกร้านอาหาร Street food คาดทั้งปี 2568 ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี หรือมีจำนวน 34.5 ล้านคน

 อ่านข่าว:

 วิเคราะห์ “ผลกระทบ” เศรษฐกิจชายแดน “ไทย-กัมพูชา”

ปรับยุทธศาสตร์ค้าจีน-ไทย รับแรงกระแทก "ภาษีตอบโต้" สหรัฐฯ

แรงงานกัมพูชา ยืนยันขอทำงานหารายได้ในไทย