วันนี้ (20 มิ.ย.2568) สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานเกี่ยวกับ สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย ที่กำลังเข้าสู่ภาวะผันผวนอย่างรุนแรง ภายหลังเกิดกรณีคลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เพิ่งบริหารประเทศได้เพียง 10 เดือน กับ สมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ
เหตุการณ์นี้ได้จุดชนวนความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากสาธารณชน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ด้วยคลิปเสียงความยาว 17 นาที ถูกบันทึกเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. แพทองธาร ได้เรียก ฮุน เซน ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่ของครอบครัวว่า "ลุง"
ประเด็นสร้างความขุ่นเคืองอย่างมากคือการที่เธอแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการจัดการปัญหาข้อพิพาทชายแดนของผู้บัญชาการทหารไทยระดับสูง โดยกล่าวว่าเขา "แค่อยากดูเท่และพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์" นอกจากนี้ ยังถาม ฮุน เซน ว่า ต้องการสิ่งใด ก็ให้บอกมา คำพูดและท่าทีเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างมากเกินไปต่อผู้นำต่างชาติ และอาจบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของกองทัพไทย
The Indian Express รายงานว่าคลิปเสียงที่หลุดได้ ทำให้นายกฯ ไทยต้องเผชิญกับพายุการเมือง และ สร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชน สื่อยังชี้ให้เห็นถึง ความนอบน้อมที่สัมผัสได้ของแพทองธารต่อ ฮุน เซน และความเห็นของเธอเกี่ยวกับกองทัพไทย ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์
BBC News ระบุว่ารัฐบาลผสมของนายกฯ แพทองธาร กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต หลังจากคลิปเสียงหลุดทำให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่ประชาชน พร้อมยังเน้นย้ำถึงข้อวิจารณ์ที่นายกฯ แสดงความเคารพที่ชัดเจนต่อ ฮุน เซน และการถูกกล่าวหาว่า บ่อนทำลายกองทัพที่มีอิทธิพลทางการเมืองของประเทศ
AP News อธิบายวิกฤตนี้ว่าเป็นวิกฤตทางการเมืองที่ซับซ้อนผสมความโกรธแค้นต่อการรั่วไหล สำนักข่าวนี้ยังรายงานว่าแพทองธารถูกวิจารณ์เรื่อง ท่าทีอ่อนข้อที่รับรู้ได้ต่อกัมพูชาและแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเรียกร้องให้ลาออกหรือแม้กระทั่งมีความเป็นไปได้ของการรัฐประหาร
The Straits Times ของสิงคโปร์ พาดหัวข่าวว่า นายกฯ ไทยขอโทษสำหรับสายกัมพูชาที่รั่วไหล ทำให้เกิดวิกฤตการเมือง เน้นว่าพฤติกรรมของแพทองธารในสายที่หลุดทำลายศักดิ์ศรีของประเทศและกองทัพและชี้ให้เห็นถึงเสียงข้างมากที่ปริ่มน้ำในสภา
The Guardian ระบุว่าคลิปเสียงที่รั่วไหล กระตุ้นความโกรธแค้นของสาธารณชนและคุกคามการล่มสลายของรัฐบาลเพื่อไทย และยังชี้ว่าความเห็นของนายกฯ ที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้บัญชาการทหารไทยนั้นได้สร้างความ "โกลาหล" แก่รัฐบาล
Al Jazeera รายงานถึงกระแสต่อต้าน และ ความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้น และตั้งข้อสังเกตว่าการดูหมิ่นนายพลของนายกฯ นั้นเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในประเทศที่กองทัพมีบทบาทสำคัญทางการเมืองและมีประวัติการทำรัฐประหารหลายครั้ง
CNN วิเคราะห์ว่านายกฯ กำลังเผชิญ "แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นให้ลาออก" และเหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความไม่แน่นอนครั้งใหม่ สู่ประเทศที่ประสบปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองมาหลายปี สื่อยังกล่าวว่าคำพูดของแพทองธารสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของชาติไทย
ปกติหรือไม่ ? อัดเสียง-เผยแพร่การสนทนาระหว่างผู้นำ
โดยทั่วไปแล้ว การสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำระดับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อนด้านความมั่นคงและพรมแดน จะถูกบันทึกไว้น้อยมาก และแทบไม่เคยถูกนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย การกระทำของ ฮุน เซน ถือเป็นการละเมิดมารยาททางการทูตอย่างร้ายแรง และเป็นการบ่อนทำลายความไว้วางใจระหว่างประเทศ
การที่ฮุน เซน ยอมรับว่าเขาบันทึกการสนทนาเพื่อ "หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดหรือการบิดเบือนในเรื่องที่เป็นทางการ" และเผยแพร่คลิปเต็ม 17 นาทีบน Facebook หลังจากมีการรั่วไหลฉบับสั้นไปก่อนหน้านี้ ถือเป็นการกระทำที่ผิดปกติอย่างยิ่งในวงการทูต รัฐมนตรีต่างประเทศไทยได้แสดง "ความผิดหวังอย่างยิ่ง" และยื่นหนังสือประท้วงต่อเอกอัครราชทูตกัมพูชา โดยระบุว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความพยายามอย่างต่อเนื่องของทั้งสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาด้วยความสุจริตใจ

สื่อต่างชาติหลายสำนักวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาลแพทองธาร จากปมคลิปเสียงหลุด ดังนี้
1.การถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล "พรรคภูมิใจไทย" ซึ่งเป็นพรรคใหญ่อันดับ 2 ในรัฐบาลผสม ได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทันที โดยให้เหตุผลว่าพฤติกรรมของแพทองธารในคลิปเสียงสร้างผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ และกองทัพของประเทศไทย การถอนตัวนี้ทำให้รัฐบาลผสมเหลือเสียงข้างมากเพียงน้อยนิด (255 เสียงจาก 495 เสียง) ทำให้สถานะของรัฐบาลแขวนอยู่บนเส้นด้าย
2.เรียกร้องให้ลาออก-ยุบสภา แรงกดดันให้แพทองธารลาออกได้ทวีความรุนแรงขึ้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน เรียกร้องให้มีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยมองว่าเหตุการณ์นี้คือ "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน ผู้ประท้วงจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มชาตินิยมได้รวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก
3.ความเสี่ยงต่อการรัฐประหาร คำพูดของนายกฯ ที่ดูหมิ่นผู้บัญชาการทหารบกได้จุดประเด็นอ่อนไหวในประเทศที่กองทัพมีบทบาทสำคัญทางการเมืองและมีประวัติการทำรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง แม้กองทัพจะออกแถลงการณ์ยืนยัน "ความมุ่งมั่นในหลักการประชาธิปไตย" แต่ความกังวลเรื่องการรัฐประหารยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตระกูลชินวัตร ทั้งพ่อและอาก็เคยถูกกองทัพโค่นอำนาจมาแล้ว
4.ความน่าเชื่อถือ-ภาพลักษณ์เสียหาย ภาพลักษณ์ของแพทองธารได้รับความเสียหายอย่างมาก เธอถูกมองว่า "อ่อนประสบการณ์ ไม่สามารถบริหารจัดการความมั่นคงของประเทศได้"
5.การเผชิญหน้าทางกฎหมาย นายกฯ แพทองธารยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางกฎหมาย มีการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กล่าวหาเธอว่าประพฤติผิดจริยธรรม ละเมิดรัฐธรรมนูญ และกระทำความผิดต่อความมั่นคงของชาติ รวมถึงการเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบด้วย
แม้ว่า นายกฯ แพทองธาร ได้ออกมาขอโทษต่อสาธารณะ โดยอธิบายว่าเป็น "เทคนิคการเจรจา" ที่มีจุดประสงค์เพื่อคลี่คลายความตึงเครียดและนำมาซึ่งสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศ แต่คำแก้ตัวเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายความโกรธแค้นของประชาชน สถานการณ์ในปัจจุบันถือเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลไทยที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากภายในประเทศและในเวทีระหว่างประเทศ
อ่านข่าวอื่น :
สื่อกัมพูชาฟาดนายกฯ ไทยไร้อำนาจ "ฮุน เซน" โอดเสียดายสัมพันธ์ 30 ปี
รู้จัก "ขแมร์ไทมส์" สื่อกัมพูชา กระบอกเสียงรัฐบาลหรือประชาชน ?