วันนี้ (24 มิ.ย.2568) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงสถานการณ์ ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านแม้ว่าอิสราเอลและอิหร่านได้ตกลงกันแล้วว่าจะหยุดยิงอย่างสมบูรณ์เป็นเวลา 12 ชั่วโมง และการหยุดยิงจะมีการดำเนินการเป็นระยะ ๆ ภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า และเบื้องต้นจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมูลค่าการค้าโดยตรงระหว่างไทยกับอิสราเอลและอิหร่านอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
โดยปี 2567 อิสราเอลเป็นคู่ค้าอันดับที่ 39 ของไทย มีมูลค่าการค้า 1,281.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.21% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย ส่วนอิหร่านเป็นคู่ค้าอันดับที่ 86 มูลค่าการค้า 207.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 0.03% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นแหล่งผลิตน้ำมันและเป็นเส้นการทางขนส่งที่สำคัญของโลก หากสถานการณ์บานปลายสู่สงครามระดับภูมิภาค อาจนำไปสู่การปิดเส้นทางเดินเรือสำคัญ ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น กระทบต้นทุนการผลิตและการขนส่งของไทย ดังนั้นจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ชี้ราคาน้ำมันโลก: แรงกระเพื่อมต่อการค้าและเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย
ผอ.สนค. ระบุว่า ราคาน้ำมันโลกเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ (net oil importer) ความผันผวนของราคาน้ำมันจึงไม่เพียงสะท้อนต้นทุนพลังงานเท่านั้น หากยังแทรกซึมสู่ทุกมิติของระบบการค้า ทั้งด้านต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ ไปจนถึงมูลค่าการนำเข้า รวมถึงดุลการค้าของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานชี้ว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพียง 70,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% ส่วนอีกกว่า 93% จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ความไม่สมดุลด้านโครงสร้างพลังงานดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และมีผลต่อเสถียรภาพทางการค้าโดยตรงและต่อเนื่อง

จากการวิเคราะห์ พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบมีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับปานกลางกับดุลการค้าของไทย โดยมีค่าสหสัมพันธ์ (correlation coefficient) เท่ากับ -0.443 ที่ระยะเวลา lag 3 เดือน หมายความว่า หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อน ดุลการค้าในปัจจุบันมักจะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p-value < 0.01) ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของการเกินดุล หรือการขาดดุลที่ทวีความรุนแรงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่แท้จริงต่อเสถียรภาพทางการค้าของประเทศ
ข้อมูลการนำเข้าในปี 2567 ยิ่งตอกย้ำว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 10.6% ของมูลค่าการนำเข้ารวม ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสินค้านำเข้าหลักที่มีอิทธิพลต่อดุลการค้าโดยตรง ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงจึงเป็นแรงกดดันที่ชัดเจนต่อดุลการค้าของประเทศ

แม้ผลกระทบจะไม่แสดงทันทีในเดือนเดียวกัน แต่จะสะท้อนผ่านวงจรทางธุรกิจ เช่น การทำสัญญาระหว่างประเทศ ระยะเวลาการส่งมอบสินค้า และการลงบัญชี ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนกว่าจะปรากฏในข้อมูลทางเศรษฐกิจหรือระบบบัญชีดุลการค้าของประเทศอย่างเป็นทางการ
ชี้ สถานการณ์ปัจจุบันและผลกระทบต่อตลาดโลก
ผอ.สนค. กล่าวว่า ในช่วงกลางเดือนมิ.ย.2568 โลกต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาน้ำมันอีกครั้ง จากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ราคาน้ำมันดิบพุ่งแตะระดับ 74 – 77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากเดือนก่อน ท่ามกลางความกังวลว่า หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันสำคัญของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งทะลุ 100 – 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อบรรเทาความตึงเครียด
ด้านอุปทาน กลุ่ม OPEC+ ได้ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตอีก 400,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ซาอุดิอาระเบียแสดง ความพร้อมเพิ่มปริมาณการผลิตเพิ่มเติม หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและลดแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในการควบคุมเสถียรภาพ ด้านราคาท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

กระทบต่อนโยบายการเงินโลก
ในขณะที่ราคาน้ำมันยังเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการดำเนินนโยบายทางการเงินของหลายประเทศ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่ากรอบเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหราชอาณาจักร (BoE) ได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการประชุมช่วงกลางเดือนมิ.ย. 2568 ว่าจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้เงินเฟ้อโดยรวมจะเริ่มชะลอลงจากจุดสูงสุดในปี 2566
โดยให้เหตุผลว่า ต้องรอประเมินผลกระทบของราคาพลังงานต่อเงินเฟ้ออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตตะวันออกกลาง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (fed) แสดงท่าทีในทำนองเดียวกัน พร้อมระบุว่า แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยรวมจะผ่อนคลายลงในบางหมวด เช่น ที่อยู่อาศัยและอาหาร แต่ราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเบนซินยังคงมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาสูงเกินกรอบเป้าหมาย 2% ได้อีกครั้ง

หากไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม สถานการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ราคาน้ำมันไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อดุลการค้าและต้นทุนของภาคการผลิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ ผู้บริโภค และภาครัฐ ผ่านกลไกของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการลงทุน การกู้ยืม และการบริโภคในระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ความผันผวนของราคาน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ควรได้รับความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด ในเชิงการกำหนดนโยบายทางการค้า รวมถึงนโยบายทางการเงินของประเทศ โดยเฉพาะในช่วง 2–3 เดือนหลังจากที่ราคาน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ภาคเอกชนควรการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจจากราคาพลังงาน จึงเป็นภารกิจร่วมของภาครัฐและภาคเอกชน ไม่ว่าจะผ่านการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง (hedging instruments) การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานในภาคการผลิต การลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า การปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ให้ประหยัดพลังงานและการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (early warning system) ที่บูรณาการข้อมูลราคาพลังงานเข้ากับการวิเคราะห์และคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ
การรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจการค้าของไทยภายใต้แรงกดดันจากตลาดพลังงานโลกจำเป็นต้องอาศัยการกำหนดนโยบายที่ยืดหยุ่น รอบคอบ และบูรณาการระหว่างภาคส่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและความผันผวนในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
อ่านข่าว:
ปิดช่องแคบฮอร์มุซ สนค.หวั่น ราคาพลังงานพุ่งสูง กระทบต้นทุนผู้ส่งออก
ตลท.จับตาสงครามตะวันออกกลาง คาดตลาดผันผวนระยะสั้น
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% กรุงไทยฯหั่นเป้าผลิตเหลือ 1.4-.1.45 ล้านคัน