ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% กรุงไทยฯหั่นเป้าผลิตเหลือ 1.4-.1.45 ล้านคัน

เศรษฐกิจ
16:25
58
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25%  กรุงไทยฯหั่นเป้าผลิตเหลือ 1.4-.1.45 ล้านคัน
อ่านให้ฟัง
14:37อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ศูนย์วิจัยกรุงไทย ลดคาดการณ์ยอดการผลิตรถยนต์ไทยปี 2568-69 ลงเหลือ 1.4-1.45 ล้านคัน จากเดิม 1.47-1.53 ล้านคัน ผลกระทบจากสงครามการค้าที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ชี้สงครามราคายังแข่งเดือน

ศูนย์วิจัยกรุงไทย ( Krungthai COMPASS ) วิเคราะห์สถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ว่า การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกอีกครั้ง หลังประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กจากทุกประเทศในอัตรา 25% เพื่อกระตุ้นให้ค่ายรถยนต์ ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ

การประเมินของ Cox Automotive และ Goldman Sachs คาดว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ราคารถยนต์ปรับเพิ่มขึ้นราว 10–15% หรือเฉลี่ยคันละ 2,000–4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 6–12 เดือนข้างหน้า สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทผู้นำเข้ารถยนต์มีแนวโน้มจะผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภค ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อและพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ หากไม่สามารถรับราคาที่เพิ่มขึ้นได้ อาจเลือกชะลอการซื้อรถยนต์ใหม่ออกไป หรือหันไปเลือกซื้อรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ แทน

สหรัฐฯขึ้นภาษี กระทบอุตฯยานยนต์ไทย 3 มิติ

สำหรับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เบื้องต้นคาดว่าการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย 3 มิติ คือ ผลกระทบทางตรง ได้แก่ ไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ ลดลง และผลกระทบทางอ้อม การสูญเสียส่วนแบ่งตลาดส่งออกที่สำคัญ และ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ไทยมีสัดส่วนการส่งออกรวมกัน 21.7% แม้ปัจจุบันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศเหล่านี้ไม่มาก โดยปี 2565-67 สัดส่วนการส่งออกรถยนต์จากญี่ปุ่นไปยังซาอุดีอาระเบีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม อยู่ที่ 3.4%, 0.6% และ 0.4% ตามลำดับ ขณะที่สัดส่วนการส่งออกจากเกาหลีใต้ไปยังประเทศดังกล่าวอยู่ที่ 2.2%, 0.6% และ 0.2% ตามลำดับ

หากทั้งสองประเทศเร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดส่งออกอื่นเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพเติบโตอย่างซาอุดีอาระเบีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม อาจส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดส่งออกสำคัญของไทยได้เช่นกัน

ตลาดยานยนต์ไทยหืดจับ สงคราม “ราคา” ยังแข่งดุ

ศูนย์วิจัยกรุงไทยฯ วิเคราะห์อีกว่า ตลาดรถยนต์ไทยเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 แรงกดดันหลักมาจากการปรับลดราคาของค่ายรถยนต์เพื่อกระตุ้นยอดขาย ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ การเข้าสู่ตลาดของแบรนด์รถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ NEV จากจีน ได้เร่งให้การแข่งขันด้านราคาทวีความรุนแรง มากยิ่งขึ้น และในปี 2568 สงครามราคายังไม่คลี่คลาย ทั้งนี้อนาคตตลาดรถยนต์ไทยมีแนวโน้มเผชิญ แรงกดดันด้านราคาที่ขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น

ปัญหา Over Supply จากการขยายกำลังการผลิตรถยนต์ NEV อย่างรวดเร็วเกินกว่าความต้องการภายในประเทศ คาดว่าการผลิตรถยนต์ NEV ในจีนอาจแตะ 23.4 ล้านคัน (CAP-U 65%) ในปี 2568 ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศอาจดูดซับได้เพียง 17 ล้านคัน ส่งผลให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินที่ต้องเร่งระบายสู่ตลาดโลกกว่า 6 ล้านคัน13 เพิ่มจากปี 2567 ถึง 4-5 เท่าตัว

Krungthai COMPASS มองว่า ท่ามกลางนโยบายการค้าโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม ทำให้ มีมุมมองต่อปริมาณการผลิตรถยนต์ไทยในปี 2568-69 อาจทำได้เพียง 1.4-1.45 ล้านคัน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.47-1.53 ล้านคัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (2565-67) อยู่ราว 18% ภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ของไทยที่ไม่สู้ดีในช่วงปี 2566-67

สาเหตุหลักมาจากยอดขายในประเทศที่เผชิญปัญหากำลังซื้อ จากการขยายตัวที่ ไม่ทั่วถึงของเศรษฐกิจไทย ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และปัญหาด้านคุณภาพหนี้ที่แย่ลง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่ออำนาจ ซื้อของผู้บริโภค

เห็นได้ชัดจากแนวโน้มยอดขายรถยนต์ที่ลดลงต่อเนื่องจาก 0.85 ล้านคันในปี 2565 มาอยู่ที่ 0.78 ล้านคันในปี 2566 (-8.7%YoY) และลดลงอีกครั้งมาอยู่ที่ 0.57 ล้านคันในปี 2567 (-26.2%YoY)

ส่วนอีกปัจจัยหนึ่ง คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง และการรุกตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องการแข่งขันด้านราคา ได้เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง (ChinaFlooding) และทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากยอดส่งออกรถยนต์ของไทยที่ลดลงจาก 1.12 ล้านคันในปี 2566 มาอยู่ที่ 1.02 ล้านคัน ในปี 2567 (-8.8%YoY)

สำหรับปี 2568 ภาคการผลิตรถยนต์ไทยยังเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง จากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากทุกประเทศในอัตรา 25% ตั้งแต่ Q2/2568 เป็นต้นไป ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกรถยนต์ไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน ไทยยังต้องเผชิญการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกที่รุนแรงขึ้น หากประเทศอื่นๆ หันมาส่งออกตลาดเดียวกับไทย รวมถึงส่งรถยนต์เข้ามาแข่งขันในไทยโดยตรง จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม และเป็นปัจจัยฉุดรั้งต่อการฟื้นตัวของยอดผลิตรถยนต์ไทย

ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยยังน่าห่วง “ดีมานด์”ในปท.ชะลอ

ส่วนประเด็นที่ต้องจับตาชิ้นส่วนยานยนต์ไทยยังน่าห่วง โดยอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยเผชิญความท้าทายสำคัญ จาก ดีมานด์ในประเทศที่ชะลอตัว และมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนฯ ของสหรัฐฯ ที่สูงถึง 25%

Krungthai COMPASS มองว่า หากปริมาณการผลิตรถยนต์ไทยอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะยาวเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วนใน Supply Chain โดยในช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นสัญญาณที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ บางรายต้องปรับลดกำลังการผลิต ยกเลิกการทำงานล่วงเวลา และมีบางรายปรับลดเวลาทำงานเหลือเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ และอาจจ่ายค่าจ้างเพียง 75% คล้ายช่วงวิกฤติโควิด-19 และน้ำท่วมปี 2554 ที่กระทบภาคการผลิตอย่างหนัก

นอกจากนี้ ผู้ส่งออกชิ้นส่วนฯ ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น หลังสหรัฐฯ เริ่มใช้ 2 มาตรการขึ้นภาษีนำเข้า ทั้งรถยนต์และชิ้นส่วนจากทุกประเทศ ในอัตรา 25% มีผลตั้งแต่ 3 เม.ย. และ 3 พ.ค. 2568

ล่าสุดสหรัฐฯ จะออกมาตรการคืนภาษี (Rebate Tax Credit) แต่ผู้ส่งออกชิ้นส่วนฯ ไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้มาก เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนของผู้ผลิตรถยนต์ และลดความซ้ำซ้อนกับภาษีอื่นๆ สหรัฐฯ จึงได้ออกมาตรการคืนภาษีในอัตรา 3.75% ของราคาขายปลีกรถยนต์ในปีแรก และ 2.5% ในปีที่2

อย่างไรก็ดี สิทธิประโยชน์นี้จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวนเฉพาะกรณีใช้ชิ้นส่วนฯ นำเข้าจากประเทศนอกกลุ่ม USMCA ไม่เกิน 15% ในปีแรก และไม่เกิน 10% ในปีที่สอง หากเกินกว่าระดับที่กำหนดจะได้รับเงินคืนบางส่วน17 จึงมีแนวโน้มที่ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ จะลดระดับการนำเข้าจากประเทศนอกกลุ่ม USMCA รวมถึงไทย เพื่อลดภาระภาษีและรักษาสิทธิในการคืนภาษีเต็มจำนวน

เมื่อประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยไปยังสหรัฐฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ก่อนใช้ Sectoral Tariff) ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนฯ (รวมยางรถยนต์) สะสมของไทยไปตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น จาก 1,746 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ขึ้นมาอยู่ที่ 1,865 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 (+6.8%YoY)

ชี้ “Sectoral Tariff” บังคับสะเทือนทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ดี คาดว่าแรงกดดันจาก Sectoral Tariff ที่กำลังบังคับใช้ จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นและกลายเป็น Downside ต่อการส่งออกชิ้นส่วนฯ ของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และอาจยืดเยื้อต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569

หากแบ่งระดับความเสี่ยงที่กลุ่มผู้ส่งออกชิ้นส่วนฯ ไทย อาจได้รับผลกระทบทางตรง (ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง) จากการขึ้นภาษีครั้งนี้ โดยพิจารณาทั้งในมิติของสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และความสามารถในการทำกำไร พบว่า ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบต่างกัน

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออกยางรถยนต์ และเครื่องยนต์ เป็นกลุ่มที่น่ากังวลและควรจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในช่วงปี 2565-67 เฉลี่ยสูงถึง 47% และ 20% ตามลำดับ สูงกว่าค่ากลางของทุกกลุ่มที่ 18.6% อีกทั้งอัตรากำไรของทั้งสองกลุ่มยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้อย่างจำกัด หากมาตรการ Sectoral Tariff ทำให้คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ลดลง หรือกดดันให้ต้องปรับลดราคาสินค้าเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ผู้ส่งออกกลุ่มนี้เผชิญกับความเสี่ยงต่อการขาดทุนมากกว่ากลุ่มอื่น

กลุ่มที่มีความเสี่ยงรองลงมา ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แม้จะมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงราว 24% แต่ธุรกิจนี้ยังมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยในระดับปานกลาง-สูง จึงยังพอมี Buffer รองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ กลุ่มตัวถัง & ตกแต่งภายใน ระบบกันสะเทือน และระบบเบรก แม้จะมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า แต่ด้วยอัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำ หากต้องรับภาระต้นทุนเพิ่ม อาจส่งผลกระทบความสามารถในการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มระบบเบรก ซึ่งมี Net Profit Margin น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ประเภทอื่น

นอกจากนี้ ผลกระทบจากภาษีนำเข้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่การส่งออกชิ้นส่วนฯ จากไทยไปสหรัฐฯ เท่านั้น แต่อาจส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ประกอบการที่อยู่ใน Supply chain ที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์เพื่อป้อนตลาดสหรัฐฯ อาทิ ญี่ปุ่น (ตลาดส่งออกชิ้นส่วนฯ อันดับ 2 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 10%) ในรอบปี 2565-67

ญี่ปุ่นส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 1 เฉลี่ยปีละ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 35% ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์ทั้งหมดของญี่ปุ่น หากการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ในญี่ปุ่นไม่สามารถส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้เท่าเดิม และจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตลง ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ส่งออกชิ้นส่วนฯ ไทยที่อยู่ใน ห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อ่านข่าว:

 ส่งออกไทยพ.ค.ขยายตัว18.4% สูงสุดประวัติการณ์ พาณิชย์ ย้ำ ปีทองส่งออกไทย

ปรับยุทธศาสตร์ค้าจีน-ไทย รับแรงกระแทก "ภาษีตอบโต้" สหรัฐฯ

เริ่มแล้ว เจรจาภาษี "ไทย-สหรัฐฯ" พณ.ยันไม่ยอมเสียเปรียบ เน้นสร้างสมดุลการค้า