ในหลักพระพุทธศาสนาจัดให้กาม เช่น ความเร้าอารมณ์ทางเพศและความสุขทางเพศ เป็นกิเลสหรือความเพลิดเพลินทางโลกประเภทหนึ่งที่ต้องละทิ้งเพื่อบรรลุการตรัสรู้ "ตัณหาในกาม" ถือเป็นสาเหตุแห่งทุกข์และเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงฌาน การหลีกเลี่ยงความปรารถนาทางกามช่วยให้บุคคลข้าม "กระแส" แห่งความทุกข์ไปสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่ปราศจากความปรารถนาทางกาม
สำหรับพระภิกษุและภิกษุณีที่บวชแล้ว การถือพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งจำเป็น "การเสพเมถุน" ถือเป็นการละเมิดพระวินัยที่ร้ายแรง ซึ่งนำไปสู่การขาดจากความเป็นพระภิกษุหรือภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาท นอกเหนือจากการลักทรัพย์ การฆ่าคน และการอวดอุตริมนุสสธรรม
แม้แต่การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองก็ถือเป็นการประพฤติผิดทางเพศสำหรับพระภิกษุและภิกษุณี การงดเว้นจากเพศสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อบรรลุการตรัสรู้ในเพศบรรพชิต

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
เจาะลึกพระวินัย กฎเกณฑ์กำหนดความสัมพันธ์ พระสงฆ์-สตรี
"พระวินัย" เป็นประมวลกฎและระเบียบพิธีการสำหรับชี้นำการปฏิบัติของพระภิกษุและภิกษุณี มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมกายและวาจา ป้องกันการกระทำผิด และกำหนดอย่างชัดเจนว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบัติ พร้อมด้วยหลักแห่งการสำรวม พระวินัยสนับสนุนการฝึกฝนทางศีล (อธิสีลสิกขา) และเตือนให้ระวังการล่วงละเมิดทางศีล
พระมหาธนรัฐ รฏฺฐเมโธ (สะอาดเอี่ยม) อธิบายในบทความ The Vinaya (Discipline) As the Core of Buddhism for Response to the Social Conflict ว่า พระวินัย ถือเป็นประมวลกฎที่ครอบคลุมเกี่ยวกับความประพฤติและการจัดระเบียบ ซึ่งจำเป็นต่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า พระธรรมและพระวินัยจะเป็นพระศาสดาแทนพระองค์หลังจากปรินิพพาน
นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุในโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2568 ว่า การที่พระภิกษุเข้าใกล้สตรีมากเกินไป โดยเฉพาะสตรีที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ อาจนำไปสู่ "ภัยเงียบ" เช่น การถูกบันทึกภาพหรือคลิปเพื่อแบล็กเมล ซึ่งอาจทำลายทั้งตัวพระภิกษุและภาพลักษณ์ของพุทธศาสนา ตัวอย่างกรณีล่าสุด เช่น การจับกุมพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับสีกา ก. ในวัดกว่า 10 แห่ง แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
กฎเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสตรี
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Dhammasteam ระบุว่า
- หากพระภิกษุสัมผัสหรือถูกสตรีสัมผัส จะเป็นอาบัติก็ต่อเมื่อ "ถูกราคะครอบงำ มีจิตกำเริบ" อย่างไรก็ตาม พระภิกษุที่ระมัดระวังจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกายทุกประการเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
- การนั่งอยู่กับสตรีตามลำพังในที่ลับตา (ลับตาจากสายตาและเสียง ลับตาด้วยกำแพง ประตู ฉาก และเหมาะแก่การเสพเมถุน) เป็นสิ่งต้องห้าม เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ใกล้ชิดเกินไปหรือความเข้าใจผิด
- การเป็นสื่อชักนำความประสงค์เรื่องการแต่งงานหรือการเป็นชู้ให้แก่ชายหรือหญิงเป็นอาบัติร้ายแรง
- การแสดงธรรมแก่สตรีเกิน 6 ประโยค เว้นแต่เป็นการตอบคำถาม เป็นอาบัติ หากไม่มีบุรุษผู้รู้เรื่องอยู่ด้วย กฎนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการตีความผิดพลาด
- การนอนค้างคืนในที่พักเดียวกันกับสตรี แม้เพียงคืนเดียว ก็เป็นอาบัติ
- การเดินทางร่วมกับสตรีโดยลำพังจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นอาบัติ ยกเว้นมีบุรุษอื่นร่วมเดินทางด้วย

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
พิจารณาคำสอน "สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์"
บทความเรื่อง "สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์จริงหรือ" โดย พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย กล่าวถึงวลี "สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์" มักถูกมองว่าเป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาที่ว่าสตรีเป็นมลทินหรือศัตรูของพรหมจรรย์ คำว่า "พรหมจรรย์" หมายถึง ความประพฤติอันประเสริฐ ในบริบทของคำกล่าวที่ว่า สตรีเป็นมลทินของการประพฤติอันประเสริฐ คำนี้หมายถึง "เมถุนวิรัติ" ซึ่งคือการงดเว้นจากการเสพเมถุน
"เมถุนธรรม" ตรงกันข้ามกับเมถุนวิรัติ และหมายถึงการประพฤติที่เลวทราม การเห็น การจับ การลูบคลำ หรือการสัมผัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมถุนธรรม ล้วนจัดเป็นการกระทำที่หยาบคาย เมถุนธรรมถูกมองว่าเลวทรามเพราะเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลส โดยเฉพาะกามตัณหา ซึ่งนำไปสู่ความกำหนัด ความโกรธ และความหลง กิเลสเหล่านี้เป็นตัวเหนี่ยวรั้งจิตไม่ให้ก้าวหน้าไปสู่ความดีสูงสุดทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า "หญิงทั้งหลายในโลกย่อมย่ำยีชายผู้ประมาทแล้ว" และธรรมชาติของผู้หญิงนั้น "มีอำนาจรุนแรงเหมือนลม" ที่อาจทำให้พระภิกษุขาดจากพรหมจรรย์ได้ง่ายหากไม่สำรวมจิตใจ พระองค์ยังตรัสว่า "เราไม่เห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่งที่จะครอบงำจิตของบุรุษอยู่ได้เหมือนรูปสตรีนี้" รวมถึงเสียง กลิ่น รส และสัมผัส คำสอนของพระพุทธเจ้าต่อพระอานนท์เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อสตรี คือ
อย่าดู เมื่อจำต้องดู อย่าพูดด้วย และ เมื่อจำต้องพูด ต้องตั้งสติไว้
นี่แสดงว่าการปฏิสัมพันธ์เป็นไปได้ แต่ต้องด้วยสติสัมปชัญญะที่แข็งแกร่ง พระองค์ยังทรงสอนให้พระภิกษุมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อสตรี โดยมองสตรีวัยแม่เป็นมารดา สตรีวัยพี่สาวน้องสาวเป็นพี่สาวน้องสาว และสตรีวัยลูกสาวเป็นลูกสาว และให้พิจารณากายว่าเป็นสิ่งไม่สะอาดเพื่อคลายความยึดติดทางกาย

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่าสตรีเป็น "มลทิน" หรือ "ศัตรู" ของพรหมจรรย์นั้น ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นสตรี แต่เป็นการเตือนให้พระภิกษุระมัดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับสตรีเพื่อป้องกันกิเลส "มลทิน" หรือ "ศัตรู"
ในที่นี้หมายถึง "อุปสรรค" ที่อาจเกิดขึ้นหากพระภิกษุมีท่าทีที่ไม่เหมาะสมต่อสตรี แหล่งข้อมูลยังระบุชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีทัศนคติเชิงลบต่อสตรีโดยทั่วไป พระองค์ทรงยกย่องสตรีให้เป็น 1 ในพุทธบริษัท 4 และทรงยอมรับบทบาทสำคัญของสตรีในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เช่น ภิกษุณีปชาบดีโคตมี ภิกษุณีเขมา ภิกษุณีอุบลวรรณา และอุบาสิกาวิสาขา ซึ่งถวายวัดและปัจจัย 4 แก่สงฆ์
เช่นเดียวกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อธิบายว่า คำสอนนี้ไม่ได้มุ่งตำหนิสตรีโดยตรง แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุมจิตใจของพระภิกษุ เพื่อไม่ให้ถูกดึงดูดโดยกิเลส ไม่ว่าจะมาจากสตรีหรือสิ่งอื่นใด ท่านระบุว่า พุทธศาสนามองมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มีศักยภาพเท่าเทียมกันในการบรรลุธรรม และการเกิดเป็นสตรีหรือบุรุษเป็นเพียงผลของกรรมที่ไม่คงที่ คำสอนนี้จึงเป็นเครื่องมือในการเตือนสติ ไม่ใช่การเหยียดเพศ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
พระสงฆ์ในศาสนาอื่นที่เกี่ยวข้องกับสตรี
ในศาสนาอื่น ๆ ข้อกำหนดเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำศาสนากับสตรีมีความแตกต่างจากพุทธศาสนา ขึ้นอยู่กับหลักคำสอนและบริบท ยกตัวอย่างเช่น
ศาสนาคริสต์ ข้อมูลจาก Catholic Encyclopedia ระบุ ในนิกายโรมันคาทอลิก พระสงฆ์ต้องปฏิญาณถือพรหมจรรย์ (Celibacy) ซึ่งห้ามแต่งงานและมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่มีข้อห้ามชัดเจนเรื่องการสัมผัสหรือพูดคุยกับสตรี พระสงฆ์สามารถให้คำปรึกษาหรือปฏิสัมพันธ์กับสตรีในฐานะสมาชิกชุมชนคริสตจักร โดยต้องรักษาความเหมาะสม ในนิกายโปรเตสแตนต์ เช่น ลูเธอรันหรือแองกลิคัน ผู้นำศาสนาสามารถแต่งงานและมีครอบครัวได้ จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องการสัมผัสสตรีในกรอบชีวิตสมรส
ศาสนาอิสลาม อิสลามไม่มีพระสงฆ์ในความหมายเดียวกับพุทธศาสนา แต่มีอิหม่าม (Imam) ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาที่สามารถแต่งงานและมีปฏิสัมพันธ์กับสตรีได้ตามหลักศาสนา โดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องความสุภาพ เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ลำพังกับสตรีที่ไม่ใช่มหรม (ญาติสนิท) และสตรีต้องแต่งกายสุภาพตาม อัลกุรอาน ซูรอฮ์อันนูร อายะฮ์ 31 การสัมผัสสตรีในกรณีที่จำเป็น เช่น การช่วยเหลือทางการแพทย์ ไม่ถูกห้ามตราบใดที่อยู่ในกรอบจริยธรรม
ศาสนาฮินดู ผู้นำศาสนา เช่น พราหมณ์หรือนักบวช ส่วนใหญ่สามารถแต่งงานและมีครอบครัวได้ การสัมผัสหรือปฏิสัมพันธ์กับสตรีจึงไม่ถูกห้ามในกรอบที่เหมาะสมตามประเพณี อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Hindu Scriptures ในบางพิธีกรรม สตรีที่มีประจำเดือนอาจถูกจำกัดการเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากความเชื่อเรื่องความไม่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นอิทธิพลจากวัฒนธรรมมากกว่าหลักศาสนา
ที่มาข้อมูล :
www.dhammastream.org, Sannyasa, The Vinaya (Discipline) As the Core of Buddhism for Response to the Social Conflict, Vinaya: Monks and Women, Nuns and Men, สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์จริงหรือ