วันนี้ (17 ก.ค.2568) ตัวแทนคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ กรรมาธิการการกฎหมายฯ, กรรมาธิการกิจการเด็กฯ, กรรมาธิการการต่างประเทศ และกรรมาธิการการแรงงาน รับยื่นหนังสือจากภาคประชาสังคมชายแดนและเครือข่าย ที่ขอให้พิจารณาให้โอกาสผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ออกมาเป็นทรัพยากรแรงงานที่มีคุณภาพของสังคมไทย
นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในนามประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กล่าวว่า ประเด็นหลักที่ได้รับหนังสือวันนี้คือผู้ลี้ภัยการสู้รบในพื้นที่ที่อยู่อาศัยพักพิงชั่วคราว มีหลากหลายแคมป์ สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดผลกระทบอย่างมากในเรื่องการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งประชาชนในพื้นที่อาศัยอยู่มานานแล้วมากกว่า 3 ทศวรรษ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในพื้นที่เมื่อมีการตัดงบประมาณสนับสนุนจะเกิดข้อกังวลหลายเรื่องทั้งเรื่องการดูแลการจัดการ และมีข้อกังวลว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ศูนย์พักพิงได้อีก
ดังนั้นกรรมาธิการความมั่นคงร่วมกับตัวแทนกรรมาธิการต่างๆ มาร่วมรับหนังสือจากภาคประชาคม คณะกรรมการในวันนี้กรรมาธิการความมั่นคงจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ โดยมีการเชิญหน่วยงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และผู้ว่าราชการจังหวัดตากมาให้ข้อมูล ก่อนหน้านี้มีการพิจารณาในกรรมาธิการแล้วและมีการทำรายงาน หลังจากส่งเรื่องไปแล้วยังจำเป็นที่ต้องประชุมต่อเพื่อหาแนวทางปฏิบัติ
นายรังสิมันต์ ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ไม่ควรซุกเอาไว้ใต้พรม หลังจากได้ลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์พักพิง ยืนยันว่าการจัดการแก้ไขปัญหานี้จะไม่ทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์ แต่การจัดการนี้จะเป็นการนำไปสู่การที่ทำให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันช่วยเหลือในด้านสิทธิมนุษยชน ขออย่านำมาเป็นประเด็นในการดิสเครดิต
ตัวแทนภาคประชาสังคม กล่าวถึงสาระสำคัญในการยื่นหนังสือวันนี้เพื่อขอโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบในศูนย์พักพิง 9 แห่งออกมาใช้แรงงานได้ ขอให้ช่วยพิจารณาและผลักดันให้เกิดขึ้นจริงด้วยข้อเสนอต่อไป 1.รัฐบาลไทยควรอนุมัติโครงการนำร่องเพื่อจัดระเบียบการออกมาทำงานของผู้หนีภัยการสู้รบในขอบเขตพื้นที่ชายแดนโดยเร่งด่วน 2.รูปแบบการจัดการควรมาจากการปรึกษาหารือระหว่างรัฐกับนายจ้างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นองค์กรมนุษยธรรมและภาคประชาสังคมผู้ลี้ภัยในแต่ละท้องถิ่น เพื่อปรับปรุงรูปแบบและสามารถนำไปสู่การขยายพื้นที่ต่อไปได้ในอนาคต
3.ให้ผู้หนีภัยเข้าถึงโอกาสการเป็นแรงงานได้จริงโดยระบบการจ้างงานจะต้องมีขั้นตอนน้อยที่สุดและไม่คิดค่าธรรมเนียมการทำบัตรประจำตัวกับใบอนุญาตทำงานจากผู้หนีภัยการสู้รบ 4.รัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในพื้นที่พักพิงทุกแห่ง 5. รัฐบาลควรประสานความร่วมมือกับ UNHCR เพื่อสำรวจคัดกรองทำฐานข้อมูลทางทะเบียนให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นประชากรแฝงต่อไป
อ่านข่าว : กรมอุตุฯ ออกประกาศ ฉ.1 เตือน 16 จว.ฝนตกหนัก-หนักมาก ช่วงวันที่ 19 -24 ก.ค.นี้
คุมตัว "สีกากอล์ฟ" ขอฝากขังศาล ฐานฟอกเงิน-ฉ้อโกง
"ผู้ประกันตน ม.33" เช็กเงื่อนไข รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน เหตุถูกเลิกจ้าง