วันนี้ (17 ก.ค.2568) ทีมไทยแลนด์นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เตรียมประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในคืนนี้ (17 ก.ค.2568) เพื่อยื่นข้อเสนอใหม่ต่อรองลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จากร้อยละ 36 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในอาเซียน ท่ามกลางความกังวลว่าหากไทยเสียภาษีสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย จะกระทบความสามารถในการแข่งขันและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุว่า ข้อเสนอครั้งนี้ยึดหลักรักษาสมดุลระหว่างการส่งออกและการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตร ปศุสัตว์ และ SME ซึ่งไทยไม่สามารถยกเว้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ร้อยละ 0 ทุกรายการเหมือนเวียดนามและอินโดนีเซียได้ พร้อมชี้ว่า การที่เวียดนามเจรจาได้ภาษีร้อยละ 20 อาจไม่ใช่ชัยชนะเสมอไป เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ทีมไทยได้ยื่นข้อเสนอหลายครั้ง ล่าสุดได้ส่งข้อมูลใหม่ให้สหรัฐฯ เพื่อแสดงจุดยืน "คุณได้ ผมก็ต้องได้" โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นรายได้หลักของคนไทย
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) โดยนางจันทร์เพ็ญ ศิริธนารัตนกุล กรรมการบริหารอาวุโสฝ่ายวิจัย วิเคราะห์ว่า นโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวจุดชนวนสงครามภาษีโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง 2568 เสี่ยงขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 หากเจรจาลดภาษีได้ใกล้เคียงร้อยละ 18-20 เท่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากยังคงถูกเก็บที่ร้อยละ 36 GDP อาจโตเพียงร้อยละ 1 เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของไทย คิดเป็นร้อยละ 18 ของการส่งออกทั้งหมดและร้อยละ 10 ของ GDP
การเจรจาไม่สำเร็จอาจกระทบการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) และอาจเห็นการย้ายฐานการลงทุนออกจากไทย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย (SET) ยังผันผวน โดยคาดการณ์ดัชนีสิ้นปี 2568 ที่ 1,300 จุด หากลดภาษีได้ร้อยละ 18-20 แต่หากยังคงที่ร้อยละ 36 ดัชนีอาจร่วงถึง 1,000 จุด
อ่านข่าวอื่น :
"ณัฐพงษ์" จี้ พท.แจงคว่ำนิรโทษกรรมประชาชน ซัดเหตุผลฟังไม่ขึ้น