อยู่เฉย ๆ ไม่เป็นจริง ๆ สำหรับ “อังเคิลฮุน” ล่าสุด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างทหารไทยยิงหนังสติ๊ก ที่ใช้ลูกปืนและกระสุนโลหะ ใส่ทหารกัมพูชา อ้างหากไม่เข้าไปแทรกแซง จะบานปลายจากหนังสติ๊กไปสู่การใช้อาวุธทุกชนิดอื่นได้ รัฐบาลไทยต้องสั่งหยุดใช้ทันที
ถือเป็นการโพสต์ข้อความต่อเนื่องรายวัน หลังจากวันวาน โพสต์ข้อความดูแลแคลนปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขารัฐศาสตร์ ที่ตนได้รับจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อปี 2544 ถึงขั้นทิ้งลงโถส้วมไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2551 เมื่อครั้งไทยบุกปราสาทพระวิหาร ซ้ำอ้างจำชื่อมหาวิทยาลัยไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยกระดับตัวเองเป็นคนสำคัญของกัมพูชา ไม่ต้องพึ่งพาประเทศอื่น ที่แย่กว่านั้น ทำตัวอยู่เหนือข้อตกลงใด ๆ แม้แต่สาระ 13 ข้อที่มาจากเวที GBC ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็น (4) ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย หรือ (9) งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม
ทั้งที่รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตีย เชยฮา เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิง ร่วมกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีกลาโหม โดยมีนายวันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลย์ ในฐานะประธานอาเซียนและเจ้าภาพจัดประชุม
กระทำของ ฮุน เซน เข้าข่ายละเลยฝ่าฝืนชัดเจน ผ่านการโพสต์ข้อความที่มีลักษณะปลุกเร้า สร้างกระแสชาตินิยมแบบรุนแรงมาตลอด ตั้งแต่เริ่มพิพาทขัดแย้งพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต กระทั่งจบหารือ GBC และมีแถลงการณ์ร่วมกัน
และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในที่มาของการโพสต์ข้อความผ่านโลกออนไลน์ของ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ว่า
ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ยังเป็นสันติภาพที่ไม่ยั่งยืน เป็นสันติภาพบนแผ่นกระดาษ หรือ Peace On Paper มาด้วยเลือดเนื้อของทหารและประชาชน แต่ยังมองไม่เห็นสันติสุขที่แท้จริง
เนื่องเพราะตราบใดที่ยังไม่มีความจริงใจ หรือพูดอย่างทำอย่าง มีวาระซ่อนเร้น หรือ Hidden Agenda ตราบนั้น เป้าหมาย”หยุดยิง” และเปิดเจรจาทั้งในระดับเจบีซี หรือระดับอื่น จะบรรลุเป้าได้ยาก ยังไม่นับการมีมหาอำนาจอย่างสหรัฐ และจีน อยู่ในวงหารือด้วย
แม้จะมีคำยืนยันจากนายอันวาร์ ผ่านคำพูดของ พล.อ.ณัฐพล รมช.กลาโหม ที่เข้าพบเมื่อ 7 ส.ค.2568 ว่า มาเลเซียและอาเซียนจะให้ไทยและกัมพูชาตกลงกันเองแบบทวิภาคี จะไม่เข้าแทรกแซง เพียงแค่ขอสังเกตการณ์ ขณะที่จีน และสหรัฐฯ จะปล่อยให้อาเซียนบริหารสถานการณ์กันเอง โดยจะไม่เข้ามาแทรกแซงใด ๆ
แต่ต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายของกัมพูชาที่แสดงมาตลอด คือ ไม่นำข้อพิพาทเข้าที่ประชุม JBC แต่ต้องการนำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” เพื่อหวังดึงประเทศที่ 3 หรือมหาอำนาจเข้ามามีเอี่ยวด้วย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ครั้งนี้กัมพูชาออกตัวเชียร์อย่างออกหน้าออกตา
ไม่เพียงไปลงนามร่วมกันระหว่างประชุมหารือทวิภาคีด้านกลาโหม ที่ค่ายทหาร เมืองโฮโนลูลู วันที่ 24-25 ก.ค.2568 ในโอกาสครบรอบ 75 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูต 2 ประเทศ ก่อนเปิดฉากรุกล้ำพื้นที่ไทยที่ช่องบก วันที่ 28 ก.ค.2568 เท่านั้น
นายกฯ กัมพูชา ฮุน มาเนต ยังจะเสนอให้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เลยทีเดียว
ด้วยมั่นใจว่า จะได้แรงหนุนจากสหรัฐฯ ที่พยายามแสวงหาพันธมิตรใหม่ในแถบอาเซียน เพื่อคานอิทธิพลของจีนเช่นกัน
สะท้อนคูเหลี่ยมการเดินเกมอย่างฮึกเหิมของกัมพูชาบนเวทีระดับนานาชาติ ไม่ต่างจากแสนยานุภาพและเขี้ยวเล็บทางยุทโธปกรณ์ ที่สามารถต่อกรกับไทยได้อย่างสูสีมากขึ้นในการปะทะสู้รบครั้งล่าสุด แตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาในช่วงปี พ.ศ.2551-2554 บริเวณพื้นที่ชายแดนรอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียง
เมื่อรวมกับการกุมความลับสำคัญของนักการเมืองไทยระดับตัวพ่อ และกลุ่มธุรกิจไทย ที่เข้าไปลงทุนหวังแสวงหาผลประโยชน์มหาศาลในกัมพูชา ถึงขั้นขู่ไม่กี่ครั้ง ปรากฏว่า “เงียบกริบ” ถ้วนหน้า
จึงน่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ “อังเคิลฮุน” แสดงบารมีและอำนาจ รวมทั้งท้าทายรัฐบาล และทหารไทยแบบไม่หยุดไม่หย่อน แม้จะเพิ่งมีการเจรจา “หยุดยิง” ที่ประเทศมาเลเซีย
สันติภาพบนกระดาษ ที่รศ.ดร.ปณิธาน เปรียบเปรยไว้ จึงอาจไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยความจริง
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : กต.ประณาม "กัมพูชา" ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ชี้ละเมิดอนุสัญญาครั้งที่ 3 ในรอบเกือบ 1 เดือน