ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

โพลเผย ประชาชน 75%"ไว้วางใจ" กองทัพ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ

การเมือง
10:31
110
โพลเผย ประชาชน 75%"ไว้วางใจ" กองทัพ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ
นิด้าโพลเผย ปชช. 75.73% ไว้วางใจกองทัพในการปกป้องผลประโยชน์ชาติจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ขณะที่ ซูเปอร์โพล เปิดใจประชาชน 68.3% มองการเจรจายุติสู้รบไทย-กัมพูชาเป็นข่าวดี ส่วน 72.3% หนุนตั้ง "บุ๋ม-ปนัดดา" นั่งโฆษกจิตอาสา ศบ.ทก.

วันนี้ (10 ส.ค.2568) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง "สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 ส.ค.2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ไทย-กัมพูชา

โดยในหัวข้อความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่างๆว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่าร้อยละ 75.73 ไว้วางใจกองทัพมาก รองลงมากระทรวงการต่างประเทศ 4.89 ขณะที่ไว้วางใจรัฐบาลเพียง 4.66 ซึ่งเมื่อเทียบกับผลสำรวจในเดือน มิ.ย. พบว่าประชาชนไว้วางใจกองทัพมากขึ้น แต่ไว้วางใจกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยลดลง

ส่วนความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง พบว่าร้อยละ 75.42 พอใจกองทัพมาก รองลงมาร้อยละ 4.81 กระทรวงการต่างประเทศ และร้อยละ 4.27 รัฐบาลไทย และเมื่อเทียบกับผลสำรวจในเดือน มิ.ย. ก็ยังคงพบว่าประชาชนพอใจผลงานกองทัพมากขึ้นขณะที่พอใจมากในการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่ความเห็นต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่าร้อยละ 41.98 เปิดการเจรจาการทูตทั้งทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจัง รองลงมาร้อยละ 27.63 กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณี ร้อยละ 27.10 เปลี่ยนรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ร้อยละ 23.97 เพิ่มกำลังทหารทางชายแดนเพื่อป้องกันประเทศ ร้อยละ 21.30 กดดันฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศ

ร้อยละ 20.0 ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา ร้อยละ 19.61 ให้มีประเทศที่สามเป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ร้อยละ 16.49 รอจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ร้อยละ 11.15 ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ขอเพียงแค่ไม่มีการสู้รบกัน ร้อยละ 5.19 ใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา

ร้อยละ 2.90 เปิดด่านทั้งหมด เพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนเข้าสู่ภาวะปกติ ร้อยละ 2.67 แทรกแซงการเมืองภายในประเทศกัมพูชาเพื่อล้มอำนาจฮุนเซน และรัฐบาล ฮุนมาเนต ร้อยละ 2.21 สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ซูเปอร์โพล เผย 68.3% มองการเจรจายุติสู้รบไทย-กัมพูชาเป็นข่าวดี

วันนี้ (10 ส.ค.68) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง เปิดใจประชาชน จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,125 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 8-9 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า จากผลสำรวจ "เปิดใจประชาชน" ของซูเปอร์โพลนี้พบภาพสะท้อนทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยในมิติข่าวดีด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจและพึงพอใจกับเหตุการณ์ที่มีผลเชิงบวกต่อประเทศ ทั้งในด้านความสำเร็จทางเศรษฐกิจ การสร้างชื่อเสียงในเวทีโลก และการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ อันดับสูงสุดคือความสำเร็จของทีมเศรษฐกิจไทยที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา ได้รับการยอมรับจากร้อยละ 74.5 ของตัวอย่างว่าเป็นข่าวดีที่สร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย

ตามมาด้วยชัยชนะของนักกีฬาไทยในเวทีนานาชาติ เช่น ทีมวอลเลย์บอลหญิงและฟุตบอลหญิง ร้อยละ 71.9 และการเจรจายุติการสู้รบไทย–กัมพูชา ร้อยละ 68.3 ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศในมิติการทูตและจิตวิญญาณแห่งสันติภาพที่รักสงบของปวงชนชาวไทย ขณะที่มาตรการเข้มงวดจัดระเบียบสังคม แก้ปัญหายาเสพติด และลงโทษฝ่ายปกครองที่ละเลยหน้าที่ ร้อยละ 65.1 รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ร้อยละ 62.4 ก็เป็นประเด็นที่ประชาชนมองว่าเป็นผลงานที่มีคุณค่า

ที่น่าสนใจคือ ในประเด็นทางการเมืองและการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ การแต่งตั้งบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษกจิตอาสาของศูนย์บัญชาการทางการทหาร (ศบ.ทก.) ได้รับเสียงสนับสนุนสูงถึงร้อยละ 72.3 สะท้อนว่าประชาชนเห็นคุณค่าในบทบาทของบุคคลที่สามารถสื่อสารได้เข้าถึงและสร้างภาพลักษณ์บวกให้กับหน่วยงานรัฐ ขณะที่มีเพียงร้อยละ 6.8 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ยังพบว่าประชาชนคาดหวังให้โฆษกฯ สื่อสารประเด็นสำคัญต่อชาวโลกอย่างตรงไปตรงมา โดยลำดับแรกคือการประณามการโจมตีพลเรือนไทย โรงพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนโดยกองทัพกัมพูชา ร้อยละ 84.5 รองลงมาคือการฟ้องศาลโลกต่อผู้นำกัมพูชาในฐานะผู้กระทำฆาตรกรสงคราม ร้อยละ 81.2 และการเปิดเผยข้อเท็จจริงเรื่องการวางทุ่นระเบิดในเขตไทย การรุกรานไทยก่อน และการทำสงครามผิดหลักสากล ร้อยละ 80.9, 80.3 และ 76.4 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ในมิติความรู้สึกต่ออนาคต พบว่าประชาชนยังมีความหวังและความกลัวผสมผสานกัน ร้อยละ 48.2 แสดงออกถึง "ความหวังที่จะก้าวต่อไป" ขณะที่ร้อยละ 21.7 ยังคง "กลัวที่จะเดินต่อ" และอีกร้อยละ 30.1 ไม่แน่ใจ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในจิตวิทยาสังคมและความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ประเทศ

รายงานของซูเปอร์โพล สรุปปิดท้ายว่า การสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่า ประชาชนมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับผลงานที่จับต้องได้และมีผลต่อภาพรวมของประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่สร้างโอกาสใหม่ ด้าน การเมืองที่แสดงบทบาทเชิงรุกในเวทีโลก และด้านสังคมที่มุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายคือ รัฐบาลควรสานต่อความสำเร็จในด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการทูต ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกในประเด็นที่สร้างความเชื่อมั่น และไม่ละเลยการสร้างหลักประกันความปลอดภัยและความยุติธรรมในสังคม เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความหวัง ลดความกลัว และสร้างพลังบวกให้กับประชาชนในการก้าวต่อไป

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน

อ่านข่าว : "กัมพูชา" ปฏิเสธวางทุ่นระเบิดใหม่ หลังทหารไทยเหยียบเจ็บ 3 นาย

สภาพอากาศวันนี้ ไทยฝนเพิ่ม "ภาคอีสาน-ตะวันออก-ใต้" ตกหนักบางแห่ง

วันที่ ผู้ติดเชื้อ HIV มีสิทธิ์บัตรทอง วัดพระบาทน้ำพุ ยังจำเป็นหรือไม่