วันนี้ (10 ก.ย.2568) กระทรวงการคลังเผยแผนเปิดตัวโครงการคนละครึ่งเฟสใหม่ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากหนี้ครัวเรือนสูงและกำลังซื้อลดลง โดยปรับเกณฑ์ใหม่เพื่อจูงใจผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งรัฐจะอุดหนุนร้อยละ 60 ส่วนประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐจะช่วยจ่ายร้อยละ 50
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า โครงการคนละครึ่งรอบใหม่แบ่งผู้เข้าร่วมเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจ่ายเองร้อยละ 40 และรัฐสนับสนุนร้อยละ 60
ส่วนกลุ่มที่ 2 คือประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ่ายเองร้อยละ 50 และรัฐสนับสนุนร้อยละ 50 ผู้อยู่ในระบบภาษีบางรายเห็นด้วยว่าการสนับสนุนร้อยละ 60 เป็นการคืนกำไรให้ผู้เสียภาษี และอาจจูงใจให้คนเข้าระบบภาษีมากขึ้น โดยเฉพาะในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทั้งค่าอาหารและการเดินทาง
นายชนกันต์ เกตุแก้ว ผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี กล่าวว่า การที่รัฐช่วยร้อยละ 60 นั้นดีกว่าการช่วยร้อยละ 50 ในอดีต และเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ อย่างไรก็ตาม วงเงินใช้จ่ายต่อวันอยู่ที่ 150 บาทถือว่าเหมาะสม แต่หากเพิ่มเป็น 200 บาท อาจเพิ่มภาระงบประมาณ ส่วนผู้ไม่อยู่ในระบบภาษีเห็นว่า การช่วยร้อยละ 50 เท่ากับรอบก่อนหน้าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ด้านร้านค้าบางแห่ง เช่น น.ส.อัยย์รดา มหารัฐธิตินนท์ ผู้จัดการร้านอาหารในเขตธนบุรี กรุงเทพฯ ระบุว่า เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ลูกค้าลดการใช้จ่าย ร้านจึงปรับราคาให้สมเหตุสมผลเพื่อรักษาฐานลูกค้า และเชื่อว่าโครงการคนละครึ่งจะช่วยทั้งผู้บริโภคและร้านค้า
อย่างไรก็ตาม น.ส.ผจงรักษ์ นาคทน เจ้าของร้านอาหารในเขตเดียวกัน ระบุว่าไม่เคยเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากปัญหาการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ระบบที่ไม่เสถียร และการได้รับเงินคืนล่าช้า ทำให้ยังลังเลที่จะเข้าร่วม
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะช่วยขยายฐานภาษี แต่ตั้งข้อสังเกตว่าโครงการคนละครึ่งเป็นเหมือนรัฐสวัสดิการมากกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และควรจำกัดวงช่วยกลุ่มเปราะบางเท่านั้น เนื่องจากไม่ส่งเสริมการลงทุนและอาจเป็นภาระงบประมาณ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ ระบุว่า การปรับเกณฑ์คนละครึ่งไม่ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นจิตวิทยาการใช้จ่าย สะท้อนจากหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การยุบสภาตามข้อตกลง MOA ใน 4 เดือนอาจสร้างแรงกดดันทางการเมือง กระทบการลงทุนและการฟื้นความเชื่อมั่นในระยะยาว
อ่านข่าวอื่น :
"วิเชียร" ยื่นฉบับ 2 ขอระงับประกาศผลเลือกนายกสภาทนายความ อ้างพบหลักฐานซื้อเสียง-บัตรเขย่ง