ภาวะสุญญากาศทางการเมืองในขณะนี้ไม่เป็นผลดีต่อเนปาล ซึ่งแม้ว่ากองทัพจะยื่นมือเข้าแทรกแซงเพื่อยุติความรุนแรง แต่ก็ประกาศชัดเจนว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาลและผู้ประท้วง ต้องมาพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งนี่อาจกลายเป็นบททดสอบสำคัญของประชาธิปไตยเนปาล นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐเมื่อปี 2008 เลยก็ว่าได้
บรรยากาศในกรุงกาฐมาณฑุและอีกหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศแตกต่างไปจากช่วง 2 วันที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง หลังจากกองทัพเนปาลตัดสินใจส่งทหารลงพื้นที่ดูแลความสงบเรียบร้อยบนท้องถนน และคุมเข้มรักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่ง รวมทั้งบังคับใช้คำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน หรือ เคอร์ฟิว ทั่วประเทศ
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้น หลังจากความพยายามของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกคำสั่งห้ามใช้งานสื่อสังคมออนไลน์และการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคพี ชาร์มา โอลี เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2568 ไม่สามารถช่วยบรรเทาความโกรธแค้นของประชาชนลงได้
โดยตลอดช่วง 2 วันที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วง โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z หรือ วัยรุ่นและคนหนุ่มสาว ได้บุกเข้าไปทำลายบ้านพักผู้นำประเทศ รัฐมนตรี นักการเมืองคนดัง ไปจนถึงสถานที่สำคัญเชิงสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังตอบโต้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงอย่างน้อย 22 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
แม้ว่าชนวนเหตุของการประท้วงรุนแรงจะเริ่มต้นขึ้นจากการแบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งทำให้ Gen Z กลัวสูญเสียสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การติดต่อสื่อสารและการแสดงออกต่าง ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ต้นตอของสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น มีรากเหง้ามาจากปัญหาเรื้อรังที่หมักหมมในสังคมเนปาลมาช้านาน
ปัญหาแรกที่เกาะกินประเทศนี้มานาน นั่นก็คือ ปัญหาการทุจริต เนปาลมีคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต 34 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และอยู่ในอันดับที่ 107 จากทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือว่าอยู่ในอันดับกลาง ๆ ของตารางภูมิภาคเอเชียใต้
ขณะที่ร้อยละ 84 ของประชากรเนปาล มองว่า การทุจริตในภาครัฐถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่า 1 ใน 10 ระบุว่า เคยต้องจ่ายเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับบริการจากภาครัฐ ทั้งๆ ที่บริการดังกล่าวควรที่จะได้มาฟรี ๆ ตามสิทธิ
ภาพปัญหาการทุจริตเชิงระบบถูกสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านโลกออนไลน์ จากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของบรรดาลูกเศรษฐีผู้มีอันจะกินและผู้ทรงอิทธิพลในเนปาล หรือที่กลุ่มผู้ประท้วงเรียกว่า Nepo Kids ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตหรูหราและชอบโพสต์ภาพลงสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้สังคมเกิดคำถามว่า แล้วเงินที่เด็กๆ กลุ่มนี้ใช้กัน มาจากไหนกันแน่
ภาพเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมเนปาล และทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจ ซึ่งปัญหานี้ยังไปซ้อนทับกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศด้วย ข้อมูลจากธนาคารโลก ชี้ว่า ชาวเนปาลกว่า 1 ใน 5 ตกอยู่ในความยากจน ขณะที่อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวเนปาล ที่มีอายุ 15 - 24 ปี เมื่อปีที่แล้ว สูงถึงร้อยละ 20.8
คนรวยกับคนจนในเนปาลมีรายได้และทรัพย์สินต่างกันมากแค่ไหน ข้อมูลจากองค์กรภาคประชาสังคมของเนปาล ชี้ว่า คนรวยที่สุดร้อยละ 10 ถือครองทรัพย์สินร้อยละ 57 ของทั้งประเทศ แต่คนจนที่สุดร้อยละ 40 กลับมีทรัพย์สินรวมกันไม่ถึงร้อยละ 10 ของทั้งหมด ขณะที่หากไปดูในส่วนของรายได้ จะพบว่า คนรวยที่สุดร้อยละ 10 มีรายได้มากกว่าคนจนที่สุดร้อยละ 40 ถึง 3 เท่า
ที่น่ากังวล คือ ผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็ไปตกอยู่ในมือของคนเพียงหยิบมือเท่านั้น ซึ่งทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในเนปาลจึงขยายกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
สถานการณ์ขณะนี้ ความยากจนในเนปาลย่ำแย่มากแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียใต้ จะเห็นว่า รายได้ของชาวเนปาลต่อคนต่อปีอยู่ที่ 1,447 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 46,000 บาท นั่นหมายความว่า ชาวเนปาลมีรายได้เดือนละไม่ถึง 4,000 บาท สถานการณ์ดีกว่าแค่อัฟกานิสถานเท่านั้น
หรืออย่างบังกลาเทศและศรีลังกา ที่ประชาชนคนหนุ่มสาวออกมาเคลื่อนไหวประท้วงรุนแรงจนโค่นผู้นำประเทศลงจากเก้าอี้ได้ในปี 2024 และปี 2022 ก็ยังมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าเนปาล
ข้อจำกัดที่ทำให้สถานการณ์ในเนปาลแตกต่างจากในบังกลาเทศและศรีลังกาหลังการประท้วงโค่นผู้นำประเทศ นั่นก็คือ การที่เนปาลไม่ได้มีแกนนำการประท้วง หรือข้อเรียกร้องที่ชัดเจน ในขณะที่ชาวเนปาล ดูเหมือนจะไม่พอใจชนชั้นนำทางการเมืองในปัจจุบันทุกกลุ่ม และไม่พอใจการบริหารประเทศตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาด้วย ซึ่งในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา หรือหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2008 ปรากฏว่า เนปาลมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 14 คน
โจทย์สำคัญในตอนนี้ คือ เนปาลจะให้ใครขึ้นมาเป็นผู้นำที่ดูแลประเทศในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ก่อนหน้าจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะกองทัพเนปาล ระบุว่า ทหารจะอยู่ไม่นาน และต้องการทำหน้าที่เพียงแค่เข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น
คำตอบน่าจะจบลงที่รัฐบาลรักษาการ แต่โจทย์ยากที่ตามมา คือ แล้วใครจะก้าวขึ้นมารับหน้าที่นี้ได้ เพราะคน ๆ นั้นจะต้องมีทั้งบารมีและความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะทำให้ทุกกลุ่มทุกฝ่ายยอมเห็นชอบด้วย ซึ่งถ้ามองตัวอย่างจากในบังกลาเทศ รักษาการผู้นำประเทศหลังการประท้วง เป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เป็นที่นับหน้าถือตาไปทั่วโลก ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในประเทศแทบไม่ได้เลย ไม่ว่าใครจะขึ้นมากุมบังเหียนเนปาล ยังไงก็ต้องเจอกับปัญหาหนักหนาสาหัสทีเดียว
อ่านข่าวอื่น :
กองทัพเนปาลคุมเข้มเมืองหลวง สั่งเคอร์ฟิวหลังเหตุจลาจล
"ซาฟารีเวิลด์" แสดงความเสียใจ สิงโตทำร้าย จนท. ยันดูแลครอบครัวเต็มที่