ถ้าจำคำพูดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในวันที่เข้าทำงานที่กระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชุดก่อน ประกาศสั่งงานวันนี้ ต้องเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน อาจจะเป็นสไตล์การทำงานที่ ทำให้ทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลอนุทิน 1 ต้องทำงานล่วงหน้าทันที แต่อีกมุม ต้องยอมรับว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่ ทรุดหนักจริง ๆ ทำให้รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาในเวลานี้เต็มไปด้วยโจทย์เร่งด่วนที่ท้าทาย
ในช่วงที่ผ่านมา ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน 1 เดินหน้าพูดคุยกลุ่มทุนและนักธุรกิจ ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แต่ปัญหาของเศรษฐกิจไทย ที่ฝังรากลึกถึงระดับโครงสร้าง นอกจากปัญหาในเศรษฐกิจภาพใหญ่ อีกด้านหนึ่งยังมีปัญหาสะสมเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับรายย่อยและเกษตรกร
จากลงพื้นที่ไปสำรวจของทีมข่าว พบว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือ เพราะกำลังเผชิญกับปัญหากำลังซื้อที่ฝืดเคือง หนี้สินที่เพิ่มขึ้น และยังเจอความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร สะท้อนจากภาพของชาวนา ใน อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี แม้ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงปลูกข้าว แต่ต้องปลูกผักสวนครัวไว้ตามคันนาเพื่อหารายได้เสริม
สุวรรณ ชาวนา บอกว่าปีนี้ราคาข้าวตกต่ำอย่างมาก ข้าวที่เกี่ยวไปขายได้เพียงตันละ 5,400 บาท ขณะที่ต้นทุนต่อไร่อยู่ 4,900 บาท ยังไม่หักค่าเช่าที่นา ทำให้ปีนี้ขาดทุน จึงต้องหารายได้เสริมจากการปลูกผัก แต่ราคาก็ไม่ดีเหมือนก่อน เช่น กะเพรา เคยขายได้กิโลกรัมละ 25 บาท ตอนนี้อยู่ที่ กิโลกรัมละ 15 บาท ส่วนรายได้ก็ไม่แน่นอน บางวัน มีรายได้ ไม่ถึงร้อยบาท
รายได้ของเกษตรกรที่ลดลง กลายเป็นลูกโซ่ ลามไปถึงเศรษฐกิจในชุมชน ละออ แม่ค้าร้านโชห่วย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี สะท้อนว่า ทำให้การค้าขายในพื้นที่ค่อนข้างซบเซา เพราะลูกค้าหลักส่วนใหญ่ เป็นเกษตรกร ทำยอดขายร้านค้าหายไปมากกว่าครึ่ง
รายได้ที่หดตัว กำลังซื้อที่ลดลง สอดคล้องกับ ข้อมูลสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่พบว่า สถานการณ์ ความยากจนในปี 2567 คนไทยจนเพิ่มขึ้น เป็น 3,400,000 คน จากปี 2566 อยู่ที่ 2,300,000 คน และกลุ่มคนที่จนเพิ่มขึ้น มากที่สุด ก็คือแรงงานในภาคเกษตร คิดเป็นร้อยละ 45.49 ของคนจนทั้งหมด สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคการเกษตร ขณะที่ครัวเรือนที่ยากจนก็เพิ่มขึ้น มีจำนวนกว่า 1,000,000 ครัวเรือน และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ยากจน ก็ยังเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 7,938 บาทต่อเดือน

รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า สภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาและซึมลึก กระทบการผลิตและการจ้างงาน สถานการณ์แบบนี้ เจ้าของกิจการมักตัดสินใจ เลิกจ้าง หรือ ลดชั่วโมงทำงาน แรงงานทักษะต่ำ หรือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เป็นลำดับแรก จึงเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยพุ่งเป้าช่วย "ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน" เป็นกรณีพิเศษ ควบคู่กับ มาตรการ "คนละครึ่ง" แต่ข้อจำกัดในการบริหารราชการเพียง 4 เดือน ต้องทำมาตรการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากมาตรการเร่งด่วน เพื่อดูแลกลุ่มฐานราก ยังมีโจทย์เร่งด่วนที่รอรัฐบาลอยู่อีกหลายข้อ กลุ่มแรกคือ กลุ่มลดภาระค่าครองชีพ ทั้งการอุดหนุนราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า ของเดิมเป็น 20 บาทตลอดสายซึ่งจะหมดอายุในสิ้นเดือนนี้ รวมถึงแนวคิดการทำตั๋วบุฟเฟต์ ในรถเมล์ และรถไฟฟ้า ด้วยการกำหนดราคาเพดานขั้นต่ำต่อวัน การลดค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือน อย่างน้อย 4 สตางค์ รวมไปถึงการกระตุ้นกำลังซื้อ ปัดฝุ่นโครงการสำคัญ ทั้ง คนละครึ่ง และ Easy E-Receipt
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มของ เรื่องเร่งด่วนที่เสนอโดยภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น การดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งสัปดาห์หน้า อาจมีการนัดหารือกับสมาคมธนาคารไทย การเสริมสภาพคล่องและเติมทุนให้กับ SME รวมไปถึงการเดินหน้าแก้ปัญหาผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯต่อเนื่อง ซึ่งยังมีรายละเอียดการตกลงสัดส่วน regional value Content หรือ rvc และการใช้โลคอลคอนเทนต์ที่ยังไม่ชัดเจน
ถ้าดูจากเช็กลิสต์ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ มีเดิมพันที่ต้องทำให้สำเร็จ ในระยะเวลาจำกัด ขณะที่เสียงในสภา ก็ไม่ได้เป็นเสียงข้างมาก รวมทั้งหลายเรื่องเป็นปัญหาที่สะสมมานาน ผ่านมาหลายรัฐบาลก็ยังไม่จบ แต่หากรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทยทำสำเร็จ ก็อาจลบภาพจำของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้มีความโดดเด่นด้านนโยบายเศรษฐกิจ และอีกผลลัพธ์ที่หลายฝ่ายจับตา ก็คือนี้อาจเป็น 4 เดือน หากแก้โจทย์เหล่านี้สำเร็จ จะเป็นการปูทางให้ได้ต่อไปอีก 4 ปีด้วยหรือไม่
อ่านข่าว :
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "ครม. อนุทิน" 36 คน 40 ตำแหน่ง
นายกฯ นำ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ 24 ก.ย.
"วันนอร์" เผยแถลงนโยบายรัฐบาลไม่ทัน 25-26 ก.ย.โฆษก ภท.คาดไม่เกิน 1 ต.ค.