วันนี้ (19 ก.ย.2568) นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า การประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ เมื่อการเมืองมีเสถียรภาพมั่นคง ทิศทางต่างๆ ก็จะดีขึ้น ส่วนนโนบายคนละครึ่ง เป็นนโยบายที่เคยทำมาแล้วในอดีตและมีผลค่อนข้างดี มองว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนและเติบโตดีขึ้น เพราะคนกล้าจับจ่ายใช้สอย
พร้อมเสนอให้รัฐบาลเข้ามาดูเรื่องการลดหย่อนภาษี เพราะสามารถช่วยผู้ประกอบการได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ควรให้ความมั่นใจว่า จะไม่เก็บภาษีย้อนหลัง เพราะมิฉะนั้นคนจะไม่เข้าระบบ
"ครม.ใหม่จะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นเพราะเมื่อมีเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นก็ยิ่งดีขึ้น การทำงานของภาครัฐที่ต่อเนื่อง ยิ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นกำลังซื้อ เช่น คนละครึ่งออกมา ก็ทำเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งก่อนหน้านี้แบงก์ชาติก็ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้ จากโต 1.7-1.8% เป็น 2.3% ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันโดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีสหรัฐ การท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย"
นอกจากนี้ยังประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และประชาชนกลุ่มฐานราก
ขณะที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของธนาคารออมสิน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มฐานราก และมีหนี้ครัวเรือน โดยปัจจุบันสภาพหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 84-89 ซึ่งในระดับนี้มุมมอง ธปท.ถือว่า หนี้สินครัวเรือนสูงเกินไป มีความเสี่ยงต่อการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาว แต่หากมองทิศทางในระยะยาว ถ้าเศรษฐกิจเริ่มผ่อนคลายไปในทางที่ดีขึ้น การปล่อยสินเชื่อก็จะดี
เบื้องต้นประเมินว่า สินเชื่อที่จะปล่อยปีหน้าเติบโตอยู่ที่ 2.2% ส่วนครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.7% โดยในส่วนครึ่งปีแรกแม้การปล่อยสินเชื่อจะดี แต่กลุ่มเอสเอ็มอี ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์อย่างมาก เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้น แม้อัตราดอกเบี้ยจะมีทิศทางลดลง
ล่าสุด ธนาคารเตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญ แบ่งเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย รวมเป็นลูกค้า 1.73 ล้านราย
นายวีระชัย กล่าวว่า ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลต์สำคัญได้แก่ AI Optimized Loan Processing and Underwriting ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ AI Chatbot for Branch ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
อ่านข่าว :
ส.ธนาคารไทย ชี้ 3 อุปสรรค ฉุด เศรษฐกิจโตต่ำสุดในอาเซียน
แบงก์ชาติ เผยปี 65 คนไทยเสียเงิน ภัยออนไลน์เกือบแสนล้าน รู้ตัวช้าเกิน 18 ชม.
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ส่งสัญญาณลดอีก 2 ครั้งในปีนี้ แม้เงินเฟ้อยังคงสูง