ประเด็นร้อนล่าสุดบนหน้าสื่อไปทั่วโลก คือเรื่องคนเกาหลีใต้ ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพในกัมพูชา ทั้งถูกหลอกให้มาทำงาน ถูกกักขังบังคับ ทำร้ายร่างกาย ทรมาน ไปกระทั่งถูกจับเรียกค่าไถ่ มากกว่า 300 กรณี และเฉพาะที่สูญหาย ไม่ต่ำกว่า 70-80 คน
เป็นเหตุให้รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งทีมพิเศษติดตามเรื้องนี้โดยเฉพาะ นำทีมโดยรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ นางคิม จินา ที่เดินทางด่วนไปกรุงพนมเปญและเข้าพบ นายกฯ ฮุน มาเนต เมื่อวานนี้ (16 ตุลาคม)
แม้จะมีการประกาศเสียงแข็งก่อนการเดินทางจากคณะนี้ว่า จะติดตามเรื่องนี้ถึงที่สุด แบบไม่ยอมถอย จนกว่าจะได้คนเกาหลีใต้กลับคืน แต่ในทางปฏิบัติ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยวิธีทางการทูต เจรจาขอความร่วมมือในการติดตาม เพราะเป็นพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา ไม่ได้หมายความว่า จะใช้เจ้าหน้าที่หรือกองกำลังพิเศษออกปฏิบัติการดังที่มีปรากฏบนข่าวเฟกนิวส์
หลังจากก่อนหน้านี้ กัมพูชาก็ตกเป็นเป้า หลังมีข่าวใหญ่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ริบทรัพย์สินที่เป็นบิสคอยน์ รวมกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 5 แสนล้านบาทไทย จากเครือข่ายปรินซ์กรุ๊ป ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา และเคยเป็นที่ปรึกษา ทั้งสมเด็จฮุนเซน และฮุน มาเน็ต เคยได้รับบรรดาศักดิ์ “ออกญา” เทียบเท่าระดับขุนนาง
อย่างไรก็ตาม กัมพูชาได้พยายามหาทาง “ลดโทน” ข่าวเหล่านี้ ไม่ว่าจะเตรียมจะเนรเทศหรือส่งคืนชาวเกาหลีใต้ส่วนหนึ่งกลับประเทศ อ้างว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด และสมัครใจร่วมงานกับแกลุ่มแก๊งสแกมเมอร์ ยังไม่นับ สมเด็จฮุนเซน เปิดคลิปเสียงนักลงทุนเกาหลีใต้ในกัมพูชา พูดชื่นชมรัฐบาล
อีกทั้งวันก่อน ยังมีการทลายกลุ่มแก๊งยาเสพติดจัดงานปาร์ตี้ใหญ่ มีทั้งคนกัมพูชา จีน และเวียดนาม โชว์สื่อ
เพราะสถานการ์ของกัมพูชาขณะนี้ เปรียบเสมือนกำลังถูก “โลกปิดล้อม” ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ จีน และเกาหลีใต้ ยังไม่นับอีกหลายประเทศที่พลเมืองตกเป็นเหยื่อของกลุ่มแก๊งมิจระดับอาชญากรข้ามโลกเหล่านี้
เป็นเรื่องต่อเนื่องจากกัมพูชาพยายามฟ้องชาวโลก เรื่องปัญหาพิพาทชายแดนกับประเทศไทย ใช้ทั้งเฟคนิวส์ ว่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ระดับโลก นำคณะสังเกตการณ์ชั่วคราวไปดูชายแดนจุดที่ตนเพลี่ยงพล้ำ รวมทั้งการร้องเรียนไปยังหน่วยงานนานาชาติ
โดยมีสมเด็จฮุนเซน คอยทำหน้าที่ให้ท้าย และพูดแบบท่องจำว่าถูกไทยรังแกข่มเหง แต่กัมพูชาจะไม่ยอมก้มหัวให้ไทย และจะไม่ลดเสียเกียรติไปเจรจาขอให้ไทยเปิดด่านการค้าชายแดน
แต่กระนั้นความเข้มแข็งทางฐานอำนาจ ทั้งทางการเมือง การทหาร รวมทั้งพรรคประชาชนกัมพูชา หรือซีพีพี ของสมเด็จฮุนเซน ซึ่งปัจจุบัน แทบไม่มีพรรคคู่แข่ง
จึงเป็นเรื่องยากที่ใครจะทำอะไรฮุนเซน และอาณาจักรที่ร่ำรวยและมั่นคงของเขาและเครือข่ายได้ ต่างจากกรณีประเทศเนปาล ที่ถูกพลังคนรุ่นใหม่ โค่นล้มอำนาจลงได้
ปัญหาอย่างเดียวของกัมพูชา จึงอยู่ที่เรื่องสุขภาพของสมเด็จฮุนเซน ซึ่งขณะนี้ อายุ 73 ปี กูรูอย่าง นายทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาเซียน ระบุชัดว่า เป็นปัญหาใหญ่ที่เจ้าตัวก็ทราบดี จึงต้องพยายามกระชับอำนาจ เพื่อปูทางให้กับทายาท ฮุน มาเน็ต ได้เดินต่อไปอย่างมั่นคง ไม่มีอะไรทัดทานขัดขวาง
จึงเป็นเสมือนภารกิจสำคัญครั้งใหญ่ และเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับสมเด็จฮุนเซน
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : กัมพูชาตรวจสอบอาคารต้องสงสัย ปมแรงงานเกาหลีใต้ถูกบังคับทำงานศูนย์หลอกลวงออนไลน์