ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ต่างกันอย่างไร "คำแถลงร่วม-ข้อตกลงสันติภาพ" ไทย-กัมพูชาลงนามที่มาเลเซีย

สังคม
12:18
818
ต่างกันอย่างไร "คำแถลงร่วม-ข้อตกลงสันติภาพ" ไทย-กัมพูชาลงนามที่มาเลเซีย
รู้จักศัพท์ทางการทูตระหว่างประเทศในการลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา "คำแถลงร่วม" จุดเริ่มต้นแสดงเจตนาร่วมกันแบบไม่ผูกพัน ขณะที่ "ข้อตกลงสันติภาพ" คือเครื่องมือทางกฎหมายที่ผูกมัดคู่กรณีให้ปฏิบัติจริงจัง เพื่อยุติความขัดแย้งอย่างยั่งยืน

ในการพบกันของนายกรัฐมนตรีไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮุน มาเนต ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียน โดยมี ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เป็นพยานในการลงนามนั้น

นายกฯ อนุทินระบุในช่วงเช้าวันที่ 26 ต.ค.2568 ว่าสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายเซ็นร่วมกันคือ "คำแถลงร่วม" (Joint Declaration) เรื่องการหยุดยิงชั่วคราว ไม่ใช่ "ข้อตกลงสันติภาพ" (Peace Agreement) ที่ผูกมัดทางกฎหมายเต็มรูปแบบ คำถามที่หลายคนสงสัยคือ แล้วทั้ง 2 คำนี้ต่างกันอย่างไร ชวนทำความรู้จักคำศัพท์ทางการทูตพื้นฐานแบบเข้าใจง่าย ๆ เพื่อไม่ให้ข่าวการต่างประเทศกลายเป็นเรื่องซับซ้อน

ก่อนอื่น ลองนึกภาพว่าประเทศต่าง ๆ เหมือนเพื่อนบ้านที่ทะเลาะกัน บางครั้งการคืนดีเริ่มจาก "คุยกันก่อน" หรือ "ตกลงหยุดทะเลาะชั่วคราว" แต่บางครั้งต้อง "เซ็นสัญญาใหญ่" ที่บังคับให้ทำตามจริงจัง "คำแถลงร่วม" ก็เหมือนคำสัญญาแบบเบา ๆ ที่แสดงเจตจำนงว่าทุกฝ่ายอยากให้ดีขึ้น แต่ยังไม่ผูกมัดให้ต้องทำตามทุกข้อ ส่วน "ข้อตกลงสันติภาพ" คือสัญญาหนัก ๆ ที่มีกฎหมายค้ำประกัน หากฝ่าฝืนอาจโดนลงโทษได้ 

Joint Declaration - คำแถลงร่วม

เอกสารที่ 2 ฝ่ายหรือหลายฝ่ายออกร่วมกัน เพื่อประกาศจุดยืนหรือความเข้าใจร่วมในประเด็นต่าง ๆ มักใช้ในสถานการณ์ที่ยังไม่พร้อมเซ็นสัญญาใหญ่ เช่น การแสดงความตั้งใจจะร่วมมือกันแก้ปัญหา โดยเนื้อหาจะค่อนข้างกว้างและยืดหยุ่น ไม่ได้กำหนดรายละเอียดชัดเจนหรือกำหนดโทษหากไม่ทำตาม

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ "แถลงการณ์ร่วมจีน-อังกฤษ หรือ Sino-British Joint Declaration 1984" การคืนฮ่องกงให้จีนในปี 1997 เอกสารนี้ประกาศเจตนาว่าจะปกครองฮ่องกงแบบ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เป็นเวลา 50 ปี แต่ต่อมามีการขยายเป็นสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันเต็มรูปแบบ

ในกรณีไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ประกาศร่วมมุ่งหยุดยิงชั่วคราวบริเวณชายแดน โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ และทรัมป์เป็นพยาน เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น ในภูมิภาคอาเซียน แต่เอกสารนี้ยังไม่มีกลไกบังคับ เช่น คณะกรรมการตรวจสอบหรือบทลงโทษ ทำให้เป็นเพียง "ก้าวแรก" ที่เปิดทางเจรจาต่อไป ไม่ใช่จุดจบของความขัดแย้ง

Peace Agreement - ข้อตกลงสันติภาพ

เอกสารทางกฎหมายเต็มตัว เหมือนสนธิสัญญาที่ผูกมัดคู่กรณีให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มักเกิดหลังความขัดแย้งใหญ่ เช่น สงครามหรือการก่อความไม่สงบ และมีรายละเอียดชัดเจน เช่น ใครต้องหยุดยิง ใครต้องถอนกำลังทหาร หรือจะแบ่งดินแดนอย่างไร รวมถึงกลไกตรวจสอบและลงโทษถ้าฝ่าฝืน เช่น ส่งเรื่องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสิน ข้อตกลงแบบนี้ต้องผ่านการเจรจายาวนาน และมักได้รับการรับรองจากองค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ (UN) เพื่อให้มีน้ำหนัก

ตัวอย่างที่คุ้นเคยคือ "Paris Peace Accords ปี 1973" ที่ยุติสงครามเวียดนามระหว่างสหรัฐฯ เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ กำหนดให้ถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากเวียดนาม และหยุดการโจมตีทางอากาศ มีคณะกรรมการนานาชาติมาควบคุม ทำให้สงครามจบลงจริง 

"สนธิสัญญาเวอร์ซาย" หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยุติสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมนี หรือ "ข้อตกลงออสโล" ระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ปี 1993 ที่กำหนดขั้นตอนสันติภาพชัดเจน

ในทางปฏิบัติ ข้อตกลงสันติภาพมักต้องผ่านการรับรองจากรัฐสภาแต่ละประเทศ และอาจมีองค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติเป็นผู้กำกับดูแล ทำให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนกว่า

ทำไม ไทย-กัมพูชา เลือกใช้คำแถลงร่วม ?

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศอธิบายว่า คำแถลงร่วมเหมาะสำหรับการเริ่มต้น เพื่อสร้างความไว้วางใจและลดความตึงเครียด โดยไม่ต้องกดดันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือ ทั้ง 2 ฝ่ายมากเกินไป เหมือนการเปิดประตูคุยกันก่อน

แต่ข้อตกลงสันติภาพคือ "กุญแจปิดประตูสงคราม" ให้แน่ใจว่าทุกฝ่ายทำตามได้จริง หากไม่มีข้อตกลงผูกพัน สันติภาพอาจเป็นแค่ลมปากที่ล้มเหลวได้ง่าย 

ในทางปฏิบัติ ทั้ง 2 อย่างมักทำงานคู่กัน เช่น คำแถลงร่วมเป็นร่างแรก ก่อนพัฒนาเป็นข้อตกลงสันติภาพเต็มรูปแบบ ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (VCLT) ปี 1969 ที่กำหนดว่า

สนธิสัญญาต้องมีเจตนาผูกพันชัดเจน ขณะที่คำแถลงร่วมมักเป็นการเมือง มากกว่า กฎหมาย

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ชี้ว่า การเลือกใช้เครื่องมือไหนขึ้นกับบริบท เช่น ถ้าความขัดแย้งรุนแรง ต้องใช้ข้อตกลงสันติภาพเพื่อบังคับใช้ แต่ถ้าแค่ข้อพิพาทเล็กน้อย การประกาศร่วมก็เพียงพอ

Reuters และ The Economic Times ระบุว่า การลงนามร่วมครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดชายแดนที่ยืดเยื้อมานาน โดยทั้งไทยและกัมพูชาต้องการลดความรุนแรงก่อน โดยมี ปธน.ทรัมป์ ยกย่องว่าเป็น "ดีลสันติภาพที่ยิ่งใหญ่" แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ยังห่างไกลจากข้อตกลงเต็มรูปแบบ เพราะขาดรายละเอียดเรื่องเขตแดนถาวรและการค้าชายแดน

นายกฯ อนุทิน กล่าวว่านี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพใหม่ ขณะที่ นายกฯ ฮุน มาเนต เน้นย้ำถึงบทบาทของอาเซียนในการไกล่เกลี่ย ส่วนทรัมป์เองก็ใช้โอกาสนี้โปรโมทนโยบาย "อเมริกาเฟิร์ส" โดยสัญญาว่าจะสนับสนุนการค้าภูมิภาคหากสถานการณ์สงบ

ความต่างหลัก ๆ ของทั้งสองจึงอยู่ที่ "ระดับการผูกมัด" คำแถลงร่วมเป็นเหมือนคำเชิญชวนให้คุยต่อ ขณะที่ข้อตกลงสันติภาพคือคำมั่นสัญญาที่ต้องทำตามจริง หากนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เหมือน "นัดกินข้าวด้วยกัน" กับ "เซ็นสัญญาซื้อขายบ้าน" นั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตชี้ว่า เอกสารคำแถลงร่วมช่วยลดแรงเสียดทานได้ดีกว่า แต่เพื่อสันติภาพยั่งยืน ก็ต้องพัฒนาไปสู่ข้อตกลงที่ชัดเจนกว่าด้วย 

ที่มา : UNTCOxford Public International LawReutersThe economic timesTaxonomy of Peace Agreements

อ่านข่าวอื่น :

“ไทย” หารือมาเลเซีย ชูความพร้อมสินค้าเกษตรไทยหนุนมั่นคงอาหาร

สดร.คาดลูกไฟเหนือท้องฟ้าภาคกลาง-ตะวันออก เป็น "ดาวตกชนิดระเบิด"