วันนี้ (26 ต.ค.2568) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีลูกไฟเหนือท้องฟ้าภาคกลางและภาคตะวันออกของไทย ช่วงกลางดึกวันที่ 25 ต.ค.2568 อาจเป็นดาวตกชนิดระเบิด
ในช่วงเวลาประมาณ 00.28 น. เหนือบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย เกิดลูกไฟสว่างวาบตามด้วยเสียงดัง โดยไม่มีรายงานความเสียหายและเกิดอันตราย จากหลักฐานที่ปรากฏทั้งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ เบื้องต้นคาดว่า เป็น “ดาวตกชนิดระเบิด” ที่อาจมากับฝนดาวตกโอไรออนิดส์ (Orionids) ทั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดาวหางเลมมอนแต่อย่างใด
จากลักษณะของดาวตกที่ปรากฏในคลิปวิดีโอตามสื่อสังคมออนไลน์นั้น คาดว่าเป็นดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) ที่มีความสว่างมากกว่าแมกนิจูดปรากฏ -14.0 เป็นต้นไป (สว่างมากกว่าดวงจันทร์เต็มดวง) โดยทั่วไปแล้วจะมีระดับความสูงอยู่ที่ 80-120 กิโลเมตร จึงสามารถสังเกตเห็นได้หลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก
ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 2 ต.ค.-7 พ.ย.ของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีปรากฏการณ์ฝนดาวตกโอไรออนิดส์ที่มีต้นกำเนิดจากดาวหางฮัลเลย์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ดาวตกชนิดระเบิดดวงนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกดังกล่าว ที่จะมีอัตราการตกเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 20 ดวงต่อชั่วโมง ในคืนวันที่ 21 ถึงรุ่งเช้า 22 ต.ค.2568
ในประเทศไทย เคยเกิดปรากฏการณ์ดาวตกชนิดระเบิดจากฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseids) เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม วัตถุที่กลายเป็นดาวตกลูกนี้ ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล “วัตถุใกล้โลก” (Near-Earth Object : NEO) แต่อย่างใด ซึ่งในฐานข้อมูลของศูนย์การศึกษาวัตถุใกล้โลก ห้องปฏิบัติการเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไอพ่น (Jet Propulsion Laboratory หรือ JPL) ขององค์การนาซา สหรัฐอเมริกา ณ วันที่ 25 ต.ต.2568 ระบุว่า มีจำนวนดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกที่ตรวจพบแล้ว 39,771 ดวง แบ่งเป็นขนาดใหญ่กว่า 140 เมตร 11,466 ดวง, ใหญ่กว่า 1 กิโลเมตร 877 ดวง, ดาวหางใกล้โลก 123 ดวง
สะท้อนว่าวัตถุใกล้โลกกลุ่มที่มีขนาดใหญ่นั้น นักดาราศาสตร์ตรวจพบหมดแล้ว มีการคำนวณวงโคจร และคาดการณ์ตำแหน่งขณะใกล้โลก และพบว่าไม่มีความเสี่ยง แต่ในส่วนวัตถุใกล้โลกกลุ่มที่มีขนาดเล็กนั้น ด้วยขนาดที่เล็กเพียงไม่กี่เมตรและระยะห่างที่ไกลในหลักล้านกิโลเมตร ทำให้เทคโนโลยีระบบการตรวจหาวัตถุในปัจจุบันยังค้นพบได้ไม่หมด แต่การพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ระบบควบคุม ฐานข้อมูล และระบบคำนวณวงโคจร ทำให้นักดาราศาสตร์ตรวจพบวัตถุใกล้โลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการพุ่งชนโลกของวัตถุใกล้โลกเหล่านี้
อ้างอิง: [1] https://cneos.jpl.nasa.gov/stats/totals.html
เรียบเรียงข้อมูลโดย พิสิฏฐ นิธิยานันท์ เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.
แท็กที่เกี่ยวข้อง:











