17 พ.ย. 2568 นี้ ไทย-กัมพูชาจะเริ่ม "ดีเดย์" วางหลักเขตชั่วคราว ในพื้นที่สำคัญระหว่างหลักเขตแดนหมายเลข 42 ถึง 47 ที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว หลัง พ.อ.ยุทธพล สุจริต หัวหน้าแม่กองสนามสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา กรมเเผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแสดงแนวเขตแดนให้ชัดเจน และเป็นการยืนยันพื้นที่ "อธิปไตย" ของไทย
พ.อ.ยุทธพล ระบุว่า สำหรับวิธีการดำเนินการปักหมุดชั่วคราวจะมีการคำนวณในโปรแกรม GPS และต้องปักทั้งสองแนว เพื่อให้เห็นแนวเขตจากหลักหมุดที่ 42 ถึง 47 ก่อนวางหมุดชั่วคราวทั้งหมดจำนวน 838 หมุด ซึ่งหลักเขตทั้งสองพื้นที่ต้องปักหมุดทุกระยะ 25-50 เมตร เพื่อให้เห็นแนวของแต่ละฝ่ายที่อ้างสิทธิ์ จากนั้นจะเป็นหน้าที่ระดับนโยบาย ที่จะปรับการถือครองพื้นที่ต่อไป
โดยหลักหมุดอาจจะมีการทำสัญลักษณ์ เช่น หลักหมุดของไทยจะทาสีน้ำเงิน ส่วนของกัมพูชาทาสีแดงซึ่งการลงไปปักหมุดชั่วคราว ไทยและกัมพูชาจะทำไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะยึดตามเส้นสีน้ำเงินหรือยึดตามเส้นสีแดง
หากนับระยะเวลา ตั้งแต่เจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชานานกว่า 5 เดือน การเริ่มวางหลักเขตชั่วคราวในเขตพื้นที่อ้างสิทธิ์ เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ หลังจากก่อนหน้านี้ กัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และกว่าจะสามารถทวงคืนพื้นที่ได้ 11 จุด ในพื้นที่แนวชายแดนอีสานใต้ และปักหมุดในพื้นที่อ้างสิทธิ์ บ้านหนองจาน -บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
หลัง “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ และ “ อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานข้อตกลงสันติภาพ ระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีไทยและ พล.อ.ฮุน มาเนต นายก รัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
กระทั่งนำไปสู่ 4 เงื่อนไขของไทย โดยทั้งสองประเทศได้เริ่มดำเนินการเป็นรูปธรรมแล้ว คือ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่และการเริ่มต้นปักหมุดชั่วคราวในหลักเขต 42 ถึง 47 ที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2568 กองทัพบก ได้เผยแพร่ประวัติศาสตร์การปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยมีรายละเอียดน่าสนใจว่า เส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา มีความยาวตลอดแนวประมาณ 798 กิโลเมตร มีการแบ่งลักษณะของแนวเขตแดนออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
- แนวเขตที่อิงตาม สันปันน้ำ ยาวประมาณ 524 กิโลเมตร
- แนวเขตที่อิงตาม ลำน้ำ ยาวประมาณ 216 กิโลเมตร
- แนวเขตที่เป็น เส้นตรงระหว่างหลักเขตแดน ยาวประมาณ 58 กิโลเมตร
แนวเขตแดนนี้มีที่มาจากการตกลงกันระหว่าง สยามและฝรั่งเศสในอดีต โดยมีการจัดทำหลักฐานสำคัญทางกฎหมาย ได้แก่
- อนุสัญญา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904
- สนธิสัญญา วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907
แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดน มาตราส่วน 1 : 200,000 รวม 7 ระวาง
บันทึกวาจาการปักหลักเขตแดน และแผนผังแสดงตำแหน่งหลักเขตแดน
กระบวนการปักปันเขตแดน: จากอดีตสู่ความผูกพันทางกฎหมาย
การปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส แบ่งออกเป็น 2 ห้วงเวลาสำคัญ คือ
ห้วงแรก – อนุสัญญา 1904
หลังการลงนามอนุสัญญาในปี ค.ศ. 1904 มีการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดแรก
ฝ่ายสยามมี พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธาน
ฝ่ายฝรั่งเศสมี พันโท Bernard เป็นประธาน
โดยได้จัดทำแผนที่แนวเขตแดน 5 ระวาง (มาตราส่วน 1 : 200,000) แต่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดนในพื้นที่จริง ขณะนั้น เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ยังอยู่ในอาณาเขตของสยาม
ห้วงที่สอง – สนธิสัญญา 1907
ในปี ค.ศ. 1907 สยามและฝรั่งเศสทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนดินแดน ดังนี้
สยามยก พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสยก ด่านซ้าย ตราด และเกาะต่าง ๆ ใต้แหลมสิงห์ถึงเกาะกูด ให้สยาม
ในห้วงนี้มีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่
ฝ่ายสยามมี พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นประธาน
ฝ่ายฝรั่งเศสมี พันตรีมองแกร์ (Montguers) เป็นประธาน
คณะกรรมการได้จัดทำแผนที่เพิ่มอีก 5 ระวาง โดยยกเลิกแผนที่เดิม 3 ระวาง (เฉพาะในพื้นที่แลกเปลี่ยนดินแดน) รวมแล้ว คงเหลือแผนที่ที่ใช้เป็นหลักฐานถึงปัจจุบันจำนวน 7 ระวาง
การปักหลักเขตแดนในพื้นที่จริง
ช่วงปี ค.ศ. 1908–1909 ได้เริ่ม ปักหลักเขตแดนจริงในภูมิประเทศ โดยใช้ต้นไม้หรือเสาไม้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1919–1920 จึงเปลี่ยนเป็น หลักคอนกรีต
ลักษณะของหลักเขตแดน
จุดเริ่มต้นที่: หลักเขตแดนที่ 1 บริเวณ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
จุดสิ้นสุดที่: หลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
รวมทั้งหมด: 74 หลัก โดยจัดวางตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่
ตามสันปันน้ำ: 34 หลัก
ตามแนวลำน้ำ: 19 หลัก
เป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก: 21 หลัก
สำหรับพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี ไม่มีการปักหลักเขต เนื่องจากอยู่ในขอบเขตการปักปันชุดแรกที่ได้ดำเนินการแล้ว โดยใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ปัจจุบัน หลักเขตแดนเดิมบางส่วน สูญหาย ถูกทำลาย หรือถูกเคลื่อนย้าย อีกทั้งตั้งอยู่ห่างกันมาก ทำให้บางพื้นที่ไม่มีความชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ไทยและกัมพูชาจึงได้ร่วมลงนาม บันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวให้ชัดเจน โดยอิงตาม หลักฐานทางกฎหมายดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงว่า หลักเขตแดนไทย-กัมพูชา 73 หลัก แท้จริงแล้วมี 74 หลัก เป็นต้นไม้ 75 ต้น ระหว่างปี ค.ศ.1908-1909 หรือ พ.ศ .2451-2452 จากนั้นมีแนวคิดเปลี่ยนมาเป็นหลักแดนปูน แทนต้นไม้ 73 หลัก บวก หลักย่อย 2 หลัก คือ 22A และ 22B รวมเป็น 75หลัก แต่เนื่องจากหลักที่ 22A และ 22B อยู่ใกล้กันมากจึงตัด 22A ออก (ค.ศ.1919-1920หรือ พ.ศ.2462-2463)
ดังนั้น สรุปได้ว่า หลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา จริง ๆ มี 74 หลัก คือ หลักที่ 1-73 หลัก บวกหลัก 22B อีก1หลัก
จุดเริ่มต้นที่: หลักเขตแดนที่ 1 บริเวณ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
• จุดสิ้นสุดที่: หลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
รวมทั้งหมด: 74 หลัก โดยจัดวางตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่
• ตามสันปันน้ำ: 34 หลัก
• ตามแนวลำน้ำ: 19 หลัก
• เป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก: 21 หลัก
ส่วนหลักเขตที่ไทยกับกัมพูชา เห็นตรงกันมี 45หลัก เป็นสันปันน้ำ 15 หลัก
คือ 2,3,4,5,712,13,14,15,18,19,27,69,70,72
เป็นเส้นตรง12หลัก คือ 37,40,41,45,52,53,54,55,56,57,58,59
เป็นคลอง 18 หลัก คือ
29,30,31,32,43,44,49,50,51,60,61,62,63,64,65,
66,67,68
เห็นไม่ตรงกัน 29 หลัก (รวม22B)
เป็นสันปันน้ำ18 หลัก (รวม 22B) คือ
1,6,8,9,10,11,16,17,20,21,22,22B,23,24,25,26,28,71
เป็นเส้นตรง 11หลัก คือ
33,34,35,36,38,39,42,46,47,48,73
เป็นคลอง ไม่มี
หมายเหตุ คือ 1.ระยะทางชายแดนทางบกจากช่องบก ถึง หลักแดนที่ 73 นั้นมีระยะทาง 798 กิโลเมตร 2.ระยะทางจากช่องบก ถึง หลักเขตแดนที่1 ที่ศรีสะเกษ 196 กม. (ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน )ไม่มีหลักเขต และ 3.ระยะทางจาก หลักเขตที่1-73 จึงเท่ากับ 798-196 คือ 602 กม.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมแผนที่ทหาร
อ่านข่าว











