วันนี้ (17 พ.ย.2568) CNN รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ในเวเนซุเอลา โดยผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันเมื่อวันศุกร์ที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า "ผมตัดสินใจแล้ว" ซึ่งคำกล่าวนี้เกิดขึ้นหลังทรัมป์เข้าร่วมการบรรยายสรุปด้านความมั่นคงหลายครั้ง
การประชุมครั้งสำคัญเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการหารือแบบกลุ่มย่อยในวันพุธที่ 12 พ.ย. โดยมี รมว.กลาโหม พีท เฮกเซท และประธานคณะเสนาธิการร่วม พล.อ.แดน เคน เข้าร่วม ตามด้วยการประชุมทีมความมั่นคงแห่งชาติขนาดใหญ่ในห้องสถานการณ์ของทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 พ.ย. ซึ่งรวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ และเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่น ๆ
ในที่ประชุมเหล่านี้ ทีมงานได้นำเสนอทางเลือกทางทหารที่หลากหลาย ตั้งแต่การโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหาร สถานที่ของรัฐบาล และเส้นทางการค้าคนและยาเสพติด ไปจนถึงแผนการกำจัดมาดูโรโดยตรง
ขณะที่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มเสริมกำลังทางเรือในทะเลแคริบเบียนอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามขัดขวางการหลั่งไหลของยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐฯ โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการโจมตีเรือต้องสงสัยขนส่งยาเสพติดอย่างน้อย 20 ครั้ง ปฏิบัติการเสริมกำลังครั้งนี้ได้รับการตั้งชื่อจากกระทรวงกลาโหมว่า "Operation Southern Spear"
ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมประเมินว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง เอริก ฟาร์นสเวิร์ธ ผู้ร่วมงานอาวุโสจากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ ระบุว่า รู้สึกประหลาดใจทั้งในด้านขนาดและความรวดเร็ว เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นการเสริมกำลังที่รุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ
ด้านกำลังพล กองทัพสหรัฐฯ ได้ระดมกำลังประมาณ 15,000 นายในภูมิภาค พร้อมด้วยเรือรบมากกว่า 10 ลำ โดยเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง USS Gerald R. Ford ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเรือรบที่อันตรายที่สุดของกองทัพเรือ ได้เดินทางมาถึงทะเลแคริบเบียนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเรือลาดตระเวน เรือพิฆาต เรือบัญชาการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธ เรือยกพลขึ้นบก และเรือดำน้ำโจมตีเข้าร่วม รวมถึงเครื่องบินขับไล่ F-35 จำนวน 10 ลำที่ถูกส่งไปยังเปอร์โตริโก ซึ่งกลายเป็นฐานทัพหลักปฏิบัติการ รมว.กองทัพบก แดน ดริสคอล ได้กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. ว่ากองทัพสหรัฐฯ พร้อม หากได้รับสั่ง
นักวิเคราะห์เตือน ล้ม "มาดูโร" อาจเกิดสุญญากาศทางการเมือง
สำหรับประเด็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในเวเนซุเอลา นักวิเคราะห์ความมั่นคงแห่งชาติ ไคลี แอตวูด บอกว่า นับเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับสหรัฐฯ เนื่องจากต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างจริงจังและมีความเสี่ยงสูง หากทำสำเร็จ ปธน.ทรัมป์ อาจได้รับประโยชน์ทางการเมืองมหาศาล เช่น การขับไล่ผู้นำเผด็จการอย่าง นิโคลัส มาดูโร และจัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อหาผู้นำคนใหม่มาแทน จากนั้นรัฐบาลทั้งสองอาจเพิ่มความร่วมมือในการจัดการยาเสพติดและการอพยพได้ รวมถึงโอกาสทำข้อตกลงด้านน้ำมันที่เป็นประโยชน์
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงอุปสรรคใหญ่ เพราะขณะนี้ การเมืองภายในเวเนซุเอลานั้น ฝ่ายค้านยังแตกแยก และกองทัพอาจตอบโต้ด้วยการก่อกบฏเสียเอง ทางด้าน ปธน.มาดูโร ก็ส่งสัญญาณเตือนจากกรุงการากัสเมื่อวันศุกร์ที่ 14 พ.ย. ว่า การแทรกแซงทางทหารของสหรัฐฯ อาจทำให้เวเนซุเอลากลายเป็น "กาซาอีกแห่ง" หรือ "อัฟกานิสถานใหม่" หรือ "เวียดนามอีกครั้ง" และเรียกร้องให้หยุดมือบ้าคลั่งที่ทิ้งระเบิด สังหาร และจะนำสงครามสู่อเมริกาใต้ แคริบเบียน จะไม่ทำสงคราม
หากมาดูโรถูกขับไล่หรือกำจัดจริง ๆ ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าจะเกิดสุญญากาศทางอำนาจ โดยกองทัพเวเนซุเอลาอาจยึดอำนาจหรือหนุนผู้นำเผด็จการคนใหม่ที่คล้ายกัน เช่น สมาชิกกลุ่มชาวิสโม อุดมการณ์ฝ่ายซ้ายที่สืบทอดจากอดีต ปธน.ฮูโก ชาเวซ บางคนมองว่ามาดูโรเป็นบุคคล "สายกลาง" ในกลุ่มนี้ หากเขาหายไป คนอื่นอาจยึดอำนาจและมีความรุนแรงมากกว่า
จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ กล่าวว่า หากกองทัพเวเนซุเอลายังเหนียวแน่น พวกเขาอาจจะไม่ยึดอำนาจหรือโค่นล้มมาดูโร แต่กองทัพอาจจะรักษาความสงบและปราบปรามผู้ประท้วง แม้มาดูโรจะถูกมองว่าเป็นผู้ควบคุมฝ่ายบริหารที่เข้มงวด ซึ่งบางมุมเขาก็ช่วยรักษาสมดุลระหว่างกลุ่มพลเรือนและทหาร นักการทูตตะวันตกคนหนึ่งกล่าวว่า ไม่ว่าชอบหรือไม่ แต่ "ปธน.มาดูโร" คือหลักประกันของความสมดุล หากเขาหายไป ประเทศอาจแตกแยกและนำไปสู่สงครามกลางเมือง
อ่านข่าวอื่น :
ฟิลิปปินส์ประท้วงทุจริตป้องกันน้ำท่วม คดีพัวพัน จนท.รัฐ-นักการเมือง
สภาพอากาศวันนี้ ไทยตอนบนเจอฝนฟ้าคะนอง ภาคใต้คลื่นลมแรง











