วันนี้ (1 ธ.ค.2568) CNN วิเคราะห์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เอเชียกลายเป็นภาพสะท้อนของโลกที่กำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว พายุ 2 ลูก ได้แก่ ไต้ฝุ่นโคโตะทางฟิลิปปินส์ และไซโคลนเซนยาร์ ที่ก่อตัวอย่างผิดธรรมชาติในช่องแคบมะละกา ที่ ๆ ปกติแทบไม่เคยเป็นแหล่งกำเนิดพายุรุนแรงเช่นนี้ ได้ส่งแรงปะทะเข้าหากันจนเกิดสายฝนหนักแบบสุดขั้ว ทำให้เกิดน้ำท่วมขนาดใหญ่ ดินถล่ม และความสูญเสียในอินโดนีเซีย ไทย ศรีลังกา และมาเลเซีย คร่าชีวิตรวมกว่า 900 คน สูญหายนับร้อย และทำให้ผู้คนนับล้านต้องอพยพอย่างสิ้นหวังกลางคืนที่ฝนไม่หยุดตก
เหตุรุนแรงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียง "ภัยพิบัติรายประเทศ" แต่คือสัญญาณเตือนระดับภูมิภาค ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังก้าวสู่จุดที่โลกกำลังถกเถียง เราจะรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน ?
สุมาตราจม สังเวย 440 คน สูญหายอีก 402
สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดใน จ.อาเจะห์ และ สุมาตราเหนือ ซึ่งแผ่นดินถล่มและน้ำหลากจากไซโคลนเซนยาร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 440 คน และยังสูญหายอีก 402 คน การกู้ภัยเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะหลายพื้นที่ถูกตัดขาด ถนนพัง และโคลนหนาเป็นเมตร เฮลิคอปเตอร์ต้องลำเลียงอาหารและสิ่งของลงจุดกระจายตามหมู่บ้าน ขณะที่ประชาชนจำนวนหนึ่งต้องแย่งชิงน้ำและอาหารก่อนที่ความช่วยเหลือจะเดินทางมาถึง
เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าสาเหตุเกิดจากความหวาดกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้โดยปราศจากเสบียง ขณะที่ชาวบ้านบางรายเล่าว่าไม่สามารถนำทรัพย์สินใดติดตัวออกมาได้เลย บ้านถูกน้ำพัดพังลงในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
170 คนในหาดใหญ่ดับจากฝนครั้งประวัติศาสตร์
ในประเทศไทย สถานการณ์ไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ จ.สงขลา และ เมืองหาดใหญ่ ได้รับผลกระทบหนักสุด มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 170 คน (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 30 พ.ย.2568) และประชาชนกว่า 3,500,000 คน ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่มีความรุนแรงเข้าขั้น "ฝนที่ตกหนักสุดในรอบ 300 ปี" ตามรายงานของ CNN
น้ำสูงกว่า 3 เมตรในตัวเมือง ทำให้ถนนจม บ้านเรือนถูกตัดขาด และโรงพยาบาลต้องอพยพผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน หนึ่งในเหตุการณ์ที่ชวนสะเทือนใจคือ กรณีครอบครัวในหาดใหญ่ต้องใช้ชีวิตบนชั้น 2 ของบ้านติดต่อกันเกือบ 48 ชั่วโมง ระหว่างรอน้ำลด เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องบินลำเลียงผู้ป่วยที่ต้องใช้ออกซิเจน รวมถึงช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 รายที่ติดอยู่ในสงขลา
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
บ้านเรือน 25,000 หลังถูกถล่มจากไซโคลนดิตวาห์
ศรีลังกาเองก็ต้องรับมือกับหายนะครั้งใหญ่จากไซโคลนดิตวาห์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 334 คน และผู้ได้รับผลกระทบมากกว่า 1,100,000 คน บ้านเรือนกว่า 25,000 หลังถูกทำลาย อีกกว่า 147,000 คนต้องละทิ้งบ้านไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ชาวบ้านเล่าถึงการหนีน้ำที่พัดเข้ามาอย่างเร็วเกินคาดว่า หลายคนเก็บของแม้แต่อาหารและเสื้อผ้าไม่ทัน บางครอบครัวต้องพึ่งอาหารจากมัสยิด ขณะที่เด็กจำนวนมากเริ่มป่วยจากสภาพอากาศและความเครียดในศูนย์อพยพ
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
มาเลเซียน้ำท่วมรุนแรง แม้เตรียมอพยพล่วงหน้า
ในมาเลเซีย พายุเซนยาร์ซัดขึ้นฝั่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน ประชาชนราว 34,000 คนถูกสั่งอพยพล่วงหน้า แม้รัฐบาลจะจัดศูนย์หลบภัยรองรับ แต่บางครอบครัวก็ยังติดค้างกลางทุ่งน้ำท่วมและรอให้ญาติช่วยช่วย สภาพน้ำสูงและเชี่ยวในบางพื้นที่ทำให้ผู้ประสบภัยเปรียบเทียบว่าเป็นความรุนแรงที่ไม่เคยพบมาก่อน
นักวิทยาศาสตร์เตือนมานานแล้วว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนความจริงนั้นอย่างชัดเจน สภาพอากาศสุดขั้วครั้งนี้เกิดจากการปะทะกันของพายุ 2 ลูก ทั้งไต้ฝุ่นโคโตะในฟิลิปปินส์ และไซโคลนเซนยาร์ ที่เกิดขึ้นผิดปกติในช่องแคบมะละกา ทำให้ลม–ฝนถูกดูดเข้าหากันจนกลายเป็นฝนหนักผิดฤดูกาล
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ขณะเดียวกัน หลายประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์ ก็เพิ่งเผชิญพายุรุนแรงและฝนที่ทำให้เกิดดินถล่มและน้ำท่วมขนาดใหญ่ ก่อนที่อาเซียนจะเจอคลื่นความร้อนรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่อเนื่องเหล่านี้ทำให้คำเตือนเกี่ยวกับสภาพอากาศสุดโต่งที่รุนแรงขึ้นกลายเป็นความจริงที่ประชาชนต้องเผชิญอยู่ทุกปี
อ่านข่าวอื่น :
น้ำท่วมใต้กระทบ "อุตสาหกรรมกุ้ง" ประเมินเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
อินโดฯ กู้ภัยน้ำท่วม-ดินถล่ม เสียชีวิตทะลุ 440 สูญหายอีกว่า 400 คน











