ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สะบั้น “เอ็มโอเอ” ยุบสภา เมื่อ “ต่อรอง-อำนาจ” ไม่ลงตัว

การเมือง
14:59
146
สะบั้น “เอ็มโอเอ” ยุบสภา เมื่อ “ต่อรอง-อำนาจ” ไม่ลงตัว
นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้เหตุผลการยุบสภาผู้แทนฯ ช่วงสายวันที่ 12 ธ.ค.2568 ว่า เพราะนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ไม่ให้ไปต่อ

ทั้งพยายามปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นการหักหลังพรรคค่ายสีส้ม เพราะยึดตาม MOA ทุกข้อ แต่เรื่องคงอำนาจ สว.ในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 /28 ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง

หลังจากช่วงค่ำ วันที่ 11 ธ.ค.2568 นายณัฐพงษ์ อภิปรายในการประชุมรัฐสภาว่า การลงมติ มาตรา 256/28 จะเป็นจุดตัดสำคัญว่า คำว่า”พูดแล้วทำ”ให้รัฐธรรมนูญนี้เป็นจริง เชื่อได้หรือไม่ เพราะพรรคภูมิใจไทย ยังสนับสนุนให้ใช้เสียงโหวต สว. 1 ใน 3 สำหรับแก้รัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่พรรคประชาชนยอมรับไม่ได้

อ่านข่าว : "นายกฯ" เผยยุบสภาตามคำขอ "ณัฐพงษ์"

การประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อ 11 ธ.ค.2568 เสียงส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไข มาตรา 256(28) ที่กมธ.เสียงข้างมาก ให้ตัดอำนาจสว.ในการลงมติแก้ไขรธน.วาระ 3 จากเดิม ที่ต้องมี สว.ให้ความเห็นชอบ 1 ใน 3 ด้วย เป็นใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง

แม้จะการเสนอให้นับคะแนนใหม่เป็นการขานชื่อรายบุคคล แต่เสียงโหวตก็ยังเหมือนเดิม กระทั่งนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ประธาน กมธ.พิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ได้หาทางออก โดยขอถอนร่างออกไปปรับปรุงใหม่ ให้สอดคล้องกับมติที่ออกมา

ประเด็นสำคัญที่ทำให้พรรคประชาชน ไม่พอใจผลโหวตที่ออกมา เนื่องจากปรากฎสส.พรรคภูมิใจไทย ไปโหวตลงมติเป็นเสียงข้างมาก ทั้งที่มีเอ็มโอเอร่วมกัน เมื่อพรรคประชาชนโหวตหนุนให้นายอนุทินเป็นนายกฯตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และหนึ่งในนั้นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เท่ากับฉีกบันทึกข้อตกลงหรือเอ็มโอเอดังกล่าว

พรรคค่ายสีส้ม ยังได้ระดมล่ารายชื่อ สส.เพื่อยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายอนุทิน หลังการประชุมรัฐสภายุติลง แต่ไม่ทันการณ์ เพราะนายกฯชิงยุบสภาดักทางไว้แล้ว

แม้จะอ้างว่า ไม่ได้ผิดสัญญา แต่ในทางการเมืองถือเป็นการแตกหักระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ถูกมองว่า จะเป็นคู่แข่งสำคัญในการเลือกตั้งสส.ครั้งหน้าที่ต้องชิงไหวชิงพริบและขบคูเหลี่ยมทางการเมือง

ความจริง ไม่ใช่เรื่องผิดความคาดหมาย เพราะเมื่อครั้งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งร่างของพรรคประชาชนและร่างพรรคภูมิใจไทยที่มีความแตกต่างกัน ในเนื้อหาชัดเจน ผ่านรัฐสภาวาระแรก แทนที่ร่างของพรรคภูมิใจไทย ที่ปรับลดจำนวน สว.จาก 1 ใน 3 เหลือ 1 ใน 5 ในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็นร่างหลักในชั้นกรรมาธิการ กลับเปลี่ยนเป็นร่างของพรรคประชาชน

นอกจากนี้ โมเดล “20 หยิบ 1” ที่กรรมาธิการเสียงข้างมากเห็นชอบ ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย แม้แต่ฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่เห็นว่าเป็นการลดทอนการมีส่วนร่วมของประชาชน และจะเอื้อประโยชน์ให้เสียงข้างมากในรัฐสภา ทั้ง สส. สว. เป็นผู้กำหนดตัวผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในลักษณะ “บล็อคโหวต” ได้

แต่ประเด็นสำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนใจรวมตัวปกป้องรักษาอำนาจเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ อย่างเห็นได้ชัดเจน ในการประชุมร่วมวันที่ 11 ธ.ค.มีการอุปมาอุปไมยเปรียบเป็นผ้าเบรกนิรภัยให้รัฐธรรมนูญ จนเกิดการประท้วงชุลมุนอยู่ครู่ใหญ่

เท่ากับ สว.ส่วนใหญ่ ยังต้องการให้คงอำนาจตนเองเอาไว้ ไม่ยอมให้โดนตัดทอนไปมากกว่านี้ หลังจากสิทธิการโหวตเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ สส. ต้องหมดไปตามบทเฉพาะกาล แต่ยังมีอำนาจที่เพิ่มเติมตามรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งบทบาทการผลักดันกฎหมายปฏิรูปประเทศ-แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี และบทบาทความสำคัญเรื่องเสียงโหวตแก้รัฐธรรมนูญ

มีการอ้างถึงคำชี้แจงของนายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง แกนนำพรรคภูมิใจไทย ต่อผู้แทนพรรคประชาชนว่า หากตัดอำนาจ สว. ตามที่พรรคค่ายสีส้มต้องการในวาระ 3 สว.จะไม่โหวตเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะส่งผลให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พยายามกันมาต้องล้มเหลว

นำไปสู่มติและบทสรุปสุดท้ายที่เป็นไปกลางดึก กระทั่งสุดท้าย นายกฯ ตัดสินใจยุบสภาในที่สุด

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส

อ่านข่าว : "อนุทิน" คุย "ทรัมป์-อันวาร์" คืนนี้ อัพเดตชายแดนไทย-กัมพูชา หวังจบทันเลือกตั้ง

"วราวุธ" นำ 10 อดีต สส.ลาออกพรรคชาติไทยพัฒนา สวมเสื้อภูมิใจไทย 15 ธ.ค.นี้