วันนี้ (20 ธ.ค.2568)นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาไทยสามารถปิดดีลและลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) 3 ฉบับ ส่งให้ผลให้ปัจจุบันไทยมี FTA 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ โดยลงนามกับศรีลังกา (ฉบับที่ 15) สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (เอฟตา) (ฉบับที่ 16) และภูฏาน (ฉบับที่ 17) เบื้องต้นตั้งเป้ามีผลบังคับใช้ปี 2569 พร้อมเผยผลรับฟังความเห็นสาธารณะต่อการจัดทำ FTA กับเอฟตา ผ่านเว็บไซต์ของกรม
โดยจะช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าและบริการ และลดต้นทุนการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการไทย รวมทั้งช่วยดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และกระตุ้นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและกระบวนการผลิต ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่ตลาดสหภาพยุโรป
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ กรมได้เร่งเดินหน้าการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (อียู) เกาหลีใต้ อาเซียน-แคนาดา และผลักดันเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และ FTA ไทย-เปรู โดยหวังให้การเจรจาคืบหน้าให้มากที่สุด และก้าวไปสู่การปิดดีลเจรจาได้โดยเร็ว ซึ่งกรมได้หารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างรอบด้าน เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาและได้รับประโยชน์จากการจัดทำ FTA ให้มากที่สุด
สำหรับ การเจรจา FTA กับอียู ยังคงเป็นนโยบายสำคัญลำดับต้นของกระทรวงพาณิชย์และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ที่ผ่านมาเจรจาแล้ว 7 รอบ และไทยจะเป็นเจ้าภาพการเจรจารอบที่ 8 ระหว่างวันที่ 2-6 ก.พ. 2569 ในภาพรวมการเจรจายังมีความคืบหน้าที่ดี ทำให้ปัจจุบันสรุปได้แล้ว 8 บท (จากทั้งหมด 24 บท) สำหรับในส่วนของการเจรจาเปิดตลาดการค้าระหว่างกัน (การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ) มีความคืบหน้าเป็นลำดับ ซึ่งสองฝ่ายยังคงยึดมั่นตามเป้าหมายสรุปผลการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในปี 2569
นอกจากนี้ กรมยังให้ความสำคัญกับการเจรจายกระดับ FTA ไทย-เปรู และความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และเร่งเจรจาเพื่อปิดดีลการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ในปี 2569 ซึ่งจะเป็นความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก และเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อประเทศคู่ค้าและนักลงทุนทั่วโลกในด้านความพร้อมในการรองรับการลงทุน และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในอนาคต
กรมอยู่ระหว่างพิจารณาและประเมินข้อดี ข้อเสียและผลกระทบในการจัดทำ FTA กับกลุ่มประเทศสมาชิกคณะมนตรี ความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) สหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้ (SACU) กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (Pacific Alliance) และตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (MERCOSUR)อีกด้วย
ส่วน การเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Trade: ART) กับสหรัฐฯ ไทยมีความพร้อมในการเจรจาอย่างเต็มที่ พร้อมเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายจาก การเดินหน้าเจรจาการค้า และระหว่างนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมความพร้อมภายในประเทศ เพื่อให้การเจรจากับสหรัฐฯ มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือน (ม.ค.- ต.ค. 2568) การค้ารวมของไทยกับโลก มีมูลค่ารวม 568,751 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 12.5 ในขณะที่การค้ารวมของไทยกับ 18 ประเทศคู่ FTA มีมูลค่ารวม 337,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 12.9 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59.3 ของมูลค่าการค้ารวมของไทยทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทย อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และสินแร่โลหะอื่นๆ และผลิตภัณฑ์
อ่านข่าว:
“ไทย” หารือมาเลเซีย ชูความพร้อมสินค้าเกษตรไทยหนุนมั่นคงอาหาร
ทุเรียนสดแชมป์ ใช้สิทธิ์ FTA พณ.ดันผู้ประกอบการใช้สิทธิส่งออก
“ไทย-เกาหลีใต้” เจรจา CEPA รอบ 7 เร่งปิดดีลภายในปี 68 หวังดูดการลงทุนเกาหลีใต้เพิ่ม











