ในรอบปี พ.ศ.2568 สังคมไทยต้องเผชิญกับข่าวและเหตุการณ์สำคัญจำนวนมากที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ครอบคลุมแทบทุกมิติของสังคม ตั้งแต่ การเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ อาชญากรรมข้ามชาติ ไปจนถึงภัยพิบัติ ที่เกิดทั้งจากธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์เอง เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความเปราะบางของระบบต่าง ๆ ภายในประเทศ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ ๆ ที่สังคมไทยต้องเผชิญในยุคโลกเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว
ในด้าน การเมือง ปี 2568 เป็นปีที่บรรยากาศทางการเมืองยังคงร้อนแรง ความคาดหวังของประชาชนต่อรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง การบริหารประเทศ และความโปร่งใส ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ด้านความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ รวมถึงประชาชนต้องเผชิญกับภาระค่าครองชีพ ราคาพลังงาน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อภายในประเทศ
ไทยพีบีเอสออนไลน์ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญ ที่ไม่ใช่เพียงข่าวรายวัน หากแต่เป็นภาพสะท้อนภาพของสังคมไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน
ล้างบาง "สแกมเมอร์" อาชญากรเอเชีย
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2568 กรณี “ซิงซิง” นักแสดงชาวจีน ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกมาแคสงานในไทยก่อนถูกบังคับไปทำงานสแกมเมอร์ที่เมียนมา กลายเป็นข่าวดังระดับนานาชาติ ทางการไทยสามารถประสานช่วยเหลือนำตัวซิงซิงกลับมาได้อย่างปลอดภัย
กรณีดังกล่าวไม่ใช่รายแรก โดยก่อนหน้านี้มีนักแสดงจีนอย่าง “เติ้งโหย่ว” และ “ฟ่านหู่” ถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน ทั้งสองรายไหวตัวทัน ตรวจสอบกับผู้กำกับที่ถูกแอบอ้างชื่อ จึงหลีกเลี่ยงอันตรายได้ อีกกรณีคือ “สี่ว์ต้าจิ่ว” ที่เดินทางมาไทยแล้ว แต่สามารถเอาตัวรอดและกลับจีนได้
เหตุการณ์ซิงซิงทำให้รัฐบาลจีนส่ง หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีความมั่นคงสาธารณะ เร่งประสานปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนไทย–เมียนมา
ในไทยปัญหาคอลเซนเตอร์รุนแรงจนแม้แต่นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังถูกแอบอ้างหลอกลวง แต่รู้ทัน
ข้อมูลจาก ศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (PCT Police) ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2567 มีการแจ้งความคดีออนไลน์สะสมสูงถึง 773,118 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 79,569 ล้านบาท
รัฐบาลไทยจึงยกระดับปราบปราม ตัดไฟชายแดนไทย–เมียนมา 5 จุด เมื่อ 5 ก.พ. 2568 รวมถึงตัดไฟ งดส่งน้ำมัน และตัดอินเทอร์เน็ตไปกัมพูชา เพื่อตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง
ทางการจีนส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาคัดกรองคนจีนด้วยตัวเอง มีรายงานว่าพบผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์ถูกส่งกลับประเทศจีนกว่า 2,800 คน
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ความเคลื่อนไหวปราบปรามสแกมเมอร์ของไทย และ กองกำลังในเมียนมา เกิดจากแรงกดดันของจีน และการปราบปรามครั้งนี้เป็นเพียงการสร้างภาพเพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติ เพราะยังมีฐานสแกมเมอร์อีกหลายแห่งเดินหน้าก่อสร้าง
แรงกดดันจากนานาชาติในประเด็นสแกมเมอร์ไม่เพียงเกิดขึ้นที่เมียนมา แต่ลุกลามมาที่กัมพูชา หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรฮุยวัน กรุ๊ป สถาบันการเงินที่มีฮุน โต หลานของ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นผู้บริหาร โดยระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินในธุรกิจสแกมเมอร์กว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การคว่ำบาตรเกิดขึ้นใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับฮุน เซน เริ่มถูกขุดคุ้ย หนึ่งในนั้น คือ ก๊ก อาน
เดือน ก.ค. ก๊ก อาน และ ลูก 3 คนของเขา ถูกทางการไทยออกหมายจับข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและฟอกเงิน พบความเชื่อมโยงกับตึกคอลเซนเตอร์ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ที่พบคนไทยถูกหลอกไปทำงาน และ มีข้อมูลเปิดเผยออกมาว่าลูกก๊ก อาน ทั้ง 3 คน ถือสัญชาติไทย
อีกหนึ่งบุคคลใกล้ชิดฮุน เซน ที่ถูกเชื่อมโยงกับธุรกิจสแกมเมอร์ และ พบหลักฐานการถือสัญชาติไทย คือ ลี ยง พัด
ลี ยง พัดอยู่ในบัญชีผู้ถูกคว่ำบาตรของกระทรวงการคลังสหรัฐ ตั้งแต่ปี 2567 โดยกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานในธุรกิจหลอกลวงออนไลน์ในโอร์เสม็ด รีสอร์ต จังหวัดอุดรมีชัย ติดชายแดนไทย
การตรวจสอบพบว่าลี ยง พัด ได้สัญชาติโดยการแปลงตั้งแต่ปี 2533 แต่ไม่พบหลักฐานการทุจริต อย่างไรก็ตามกระทรวงมหาดไทย พบว่าลี ยง พัด มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และ พบหลักฐานการถือ 2 สัญชาติ จึงประกาศถอนสัญชาติลี ยง พัดในวันที่ 24 ต.ค.
วันที่ 2 ธ.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 13/2568 มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินจำนวน 289 รายการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท จาก 4 เครือข่าย รวมถึงเฉิน จื้อ และ ก๊ก อาน
เครือข่ายที่ถูกยึดทรัพย์มูลค่ามากที่สุดกว่า 9,000 ล้านบาท คือ เครือข่ายเบน สมิธ และ น.ส.แตงไทย โดยระบุพฤติการณ์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกว่าพัสดุผิดกฎหมาย
วันที่ 22 ธ.ค. ปปง.ยังมีมติให้ยึดทรัพย์สินในเครือข่าย น.ส.แตงไทยเพิ่มเป็นเรือยอร์ชสัญชาติ หมู่เกาะเคย์แมน มูลค่ากว่า 1,125 ล้านบาท โดยมีรายงานเพิ่มเติมว่าเรือลำดังกล่าวมีภรรยาของเบน สมิธเป็นเจ้าของ
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันยังมีการเปิดเผยภาพถ่ายเบน สมิธ ร่วมกับบุคคลในแวดวงการเมือง จนบุคคลในภาพส่วนหนึ่งออกมาปฏิเสธความสนิทสนมกับเบน สมิธ
เบน สมิธ ตอบโต้ผู้ที่กล่าวหาว่าเขาหลายคน โดยฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมยืนยันผ่านทนายความว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์
ม้มีการลงดาบ ใช้ยาแรง ปราบสแกมเมอร์อย่างกว้างขวางตลอดทั้งปี แต่ในทางกลับกันรอบประเทศไทย ยังคงเห็นภาพการขยายตัวของฐานสแกมเมอร์แห่งใหม่ ฐานที่โอเบยเจือน ติดกับ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เริ่มมีรายงานการช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศบ่อยครั้ง เช่นเดียวกับ ฐานใหม่ๆ อีกหลายแห่งในพื้นที่ติดชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม
ขณะที่ ฝั่งเมียนมา พบการเติบโตของฐานสแกมเมอร์ในพื้นที่อิทธิพลของกองกำลังดีเคบีเอเพิ่มขึ้นตลอดแนวชายแดนจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา
แผ่นดินไหว ตึก "สตง." 30 ชั้น ถล่ม
ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังใหม่ ความสูง 33 ชั้น ที่กำลังก่อสร้างได้เกิดถล่มลงมาในบ่ายของวันที่ 28 มี.ค.2568 เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในเมียนมา ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ และเป็นอาคารเดียวที่ถล่ม
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ติดใต้อาคารเป็นการเร่งด่วน และใช้เวลากว่า 1 เดือน ในการปฏิบัติภารกิจกู้ซากอาคารก่อนและยุติการค้นหาในวันที่ 12 พ.ค.2568
เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 95 คน สูญหาย 1 คน และมีผู้รอดชีวิตเพียง 9 คน
ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการพังถล่มเกิดจากโครงสร้างส่วนล่างของอาคารในชั้น 1–4 ซึ่งผนังรับแรงเฉือนไม่สามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวได้อย่างเพียงพอ ขณะเดียวกัน การทดสอบตัวอย่างคอนกรีตพบว่ามีค่าความแข็งแรงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ แบบก่อสร้างและรายละเอียดทางวิศวกรรมที่ใช้ ยังไม่เป็นไปตามข้อกฎหมาย
ในส่วนของคดีอาญา พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ได้สรุปสำนวนเสนอพนักงานอัยการ และมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งในฐานะนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวม 23 คน ต่อศาลอาญา ในความผิดเกี่ยวกับการออกแบบ ควบคุม และก่อสร้างอาคารโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต พร้อมข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม รวมถึงความผิดตามกฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
เขย่าวงการผ้าเหลือง! สะเทือนสงฆ์ ปม "สัมพันธ์สีกา-โกงเงินวัด"
"ทิดแย้ม" หรือ อดีตพระธรรมวชิรานุวัตร อายุ 70 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ได้ทำพิธีลาสิกขา โดยการเปล่งวาจาด้วยความสมัครใจ ภายหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ยักยอกและฉ้อโกงทรัพย์สินของวัด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนพบเส้นทางการเงินที่มีความผิดปกติ โดยมีการโอนเงินจากบัญชีของวัดไปยังบัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส จากนั้นเงินบางส่วนถูกโอนไปยัง สีกาคนสนิท เพื่อนำไปใช้ในการเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่นำไปสู่การดำเนินคดี
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 พระเทพวชิรปาโมกข์ (อาชว์ อาชฺชวปเสฏฺโฐ) หรือ “เจ้าคุณอาชว์” อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ ได้ลาสิกขาอย่างกะทันหันในพื้นที่จังหวัดหนองคาย ก่อนมีรายงานว่าได้เดินทางข้ามพรมแดนไปยัง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทันที ท่ามกลางกระแสข้อสงสัยจากสังคม
รายงานระบุว่า การลาสิกขาของเจ้าคุณอาชว์มีสาเหตุมาจาก เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสีกา ก. อายุ 35 ปี โดยมีพฤติกรรมและลักษณะคดีคล้ายกับกรณีของทิดแย้ม เมื่อเจ้าคุณอาชว์เกิดความกังวลและพยายามตีตัวออกห่าง ทำให้สีกา ก. ไม่พอใจ และมีการกุเรื่องอ้างว่าตนเองตั้งครรภ์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่เรียกร้องเงิน พร้อมพยายามนำเรื่องความสัมพันธ์ไปเปิดเผยกับพระรูปหนึ่ง โดยมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ
ต่อมา เมื่อเรื่องดังกล่าวกลายเป็นกระแสข่าวในสังคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลการตรวจสอบ และพบความเชื่อมโยงระหว่าง “สีกากอล์ฟ” อายุ 35 ปี กับพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป จากการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ พบภาพถ่ายและคลิปวิดีโอกว่า 80,000 รายการ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดี
ผลจากการตรวจสอบดังกล่าว ส่งผลให้พระผู้ใหญ่และพระสงฆ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทยอยลาสิกขามากกว่า 10 รูป นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงต่อวงการพระพุทธศาสนา และกระตุ้นให้สังคมเรียกร้องการตรวจสอบความโปร่งใสของคณะสงฆ์อย่างจริงจัง
น้ำท่วมเหนือ-น้ำท่วมใต้ ภัยพิบัติรุนแรง
เมื่อช่วงเดือน ก.ค.2568 ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุวิภา ซึ่งก่อตัวทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ ก่อนเคลื่อนผ่านเวียดนาม ลาว และอ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่อิทธิพลพายุยังทำให้หลายพื้นที่ของไทยเกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.น่าน เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย ตาก อุตรดิตถ์ และเลย ครอบคลุม 67 อำเภอ 303 ตำบล และ 1,610 หมู่บ้านมีประชาชนเดือดร้อนกว่า 43,000 ครัวเรือน
จ.น่านได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด น้ำท่วมล้อมวัดภูมินทร์และท่วมรูปปั้นปู่ม่านย่าม่านถึงลำคอ โรงพยาบาลน่านต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยชั่วคราว
ปลายเดือน ส.ค. ไทยยังเผชิญพายุคาจิกิอีกระลอกทำให้หลายพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโรงเรียนและสถานพยาบาลในจังหวัดน่านถูกน้ำท่วม
จ.เชียงใหม่ เกิดเหตุดินสไลด์ในพื้นที่หมู่บ้านปางอุ๋ง ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม ส่งผลให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายประมาณ 10 หลังคาเรือน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 13 คน และพบผู้เสียชีวิต 2 คน
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภาคใต้ของประเทศไทยยังต้องเผชิญฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา ซึ่งประสบอุทกภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี และมีปริมาณน้ำฝนสะสมสูงสุดในรอบกว่า 300 ปี ทางการได้ประกาศเขตภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินทั้งจังหวัด และดำเนินการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว มีประชาชนได้รับผลกระทบรวม 243,568 ครัวเรือน
มวลน้ำจำนวนมากได้เพิ่มระดับอย่างรวดเร็วจากการล้นตลิ่งของคลองอู่ตะเภา ก่อนไหลเข้าสู่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ส่งผลให้ คลองภูมินาถดำริ (คลอง ร.1) ซึ่งเป็นคลองสายหลักสำหรับการระบายน้ำ มีระดับน้ำสูงล้นประตูระบายน้ำทั้งฝั่งตัวเมืองและฝั่งคลองอู่ตะเภา ทำให้ไม่สามารถควบคุมการระบายน้ำได้
อุทกภัยครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 145 คน บ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความสูญเสียอย่างรุนแรงให้กับประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมา
ชายแดนวิกฤต "ทหารไทย" ปะทะ "กัมพูชา"
ในเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568 กัมพูชาเปิดฉากยิงจรวดโจมตีฝ่ายไทย และยิงจรวด BM-21 ตกภายในปั๊มน้ำมัน บ้านน้ำเย็น อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พบผู้เสียชีวิต 7 คน บาดเจ็บ 14 คน รวมถึงเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาในหลายจุดตลอดแนวชายแดน
จนกระทั่งนำมาสู่ผู้นำรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย มีผลเที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค.2568
9 ส.ค.2568 กำลังพลประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทางเพื่อเสริมความมั่นคง ในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์–บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ไม่กี่วันต่อมา 12 ส.ค.2568 หน่วยทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 เหยียบกับระเบิดขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย วันที่
27 ส.ค. , 10 พ.ย. เกิดเหตุซ้ำรอย ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บ
การปะทะรอบที่ 2 ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา เกิดขึ้นเมื่อ 7 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา เริ่มที่บริเวณพลาญหินแปดก้อน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย
การปะทะรอบนี้ขยายวงกว้างออกไปในจุดอื่น ๆ ในเข้าวันที่ 4 ของการเกิดเหตุการณ์ปะทะ แนวรบขยายไปกว่า 10 จุด ใน 7 จังหวัด ตั้งแต่อีสานใต้ มาจนถึง จ.ตราด ประชาชนต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว บ้านเรือนหลายพื้นที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงทรัพย์สิน พื้นที่ทางเกษตร
ล่าสุดวันที่ 27 ธ.ค.2568 ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 รมว.กลาโหมไทยและกัมพูชา ได้ลงนามหยุดยิง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 12.00 น.ของวันที่ 27 ธ.ค.2568 ให้ 2 ฝ่ายคงกำลังทหารในพื้นที่ โดยไม่มีการเคลื่อนย้าย หรือเสริมกำลังเพิ่มเติมเข้าหากัน หรือการโจมตี ยั่วยุซ้ำ ให้ติดตามและเฝ้าสังเกตการณ์ 72 ชั่วโมง ก่อนปล่อยตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 นาย
โดยการปะทะรอบนี้ใช้เวลา 20 วัน ทหารไทยเสียชีวิต 27 นาย
คลิปเสียง 17 นาที จาก "uncle" สะเทือน "แพทองธาร" ตกเก้าอี้นายกฯ
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง สืบเนื่องจากกรณีที่ คณะ สว. 36 คนเป็นเจ้าของคำร้อง ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา
จุดเริ่มต้นจาก เมื่อ 18 มิ.ย.2568 คลิปเสียงการสนทนาที่หลุดออกสู่สาธารณะ จนได้กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการการเมือง ที่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์นาน 17.06 นาที โดยมีล่ามอยู่ด้วย ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่ง น.ส.แพทองธาร เรียกสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่า uncle นอกจากนี้ยังพูดถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพ และมีการพาดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นคนของฝั่งตรงข้าม
ในคลิปดังกล่าว น.ส.แพทองธาร เรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “uncle” (ลุง) รวมถึงมีการกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพ และมีการพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นบุคคลของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งต่อมาได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม และนำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในที่สุด
สยบฤทธิ์ "ทักษิณ" คดีชั้น 14 พาเข้าเรือนจำ
เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551, คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552, คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ได้รับการบังคับโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากการเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่นับว่าเป็นการบังคับโทษตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุกนายทักษิณ 1 ปี
ทั้งนี้จากกรณี นายทักษิณ ที่เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปรับโทษ แต่ในวันเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณ ไปรักษายังโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากพบอาการป่วยฉุกเฉิน
ทั้งนี้ นายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษ จากเดิมโทษจำคุก 8 ปี เหลือโทษจำคุก 1 ปี ก่อนที่จะได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2567
และในวันที่ 18 ก.พ.2568 นายทักษิณ ได้ทางออกจากโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อกลับบ้านพักจันทร์ส่องหล้าซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 โดยภาพที่สื่อมวลชนเห็นนายทักษิณสวมเสื้อลายตาราง ใส่เฝือกแขน และคอ
สำหรับคดีมาตรา 112 กรณีที่นายทักษิณ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศเมื่อปี 2558 ที่ถูกอัยการสั่งฟ้องในข้อหาหมิ่นสถาบัน โดยศาลชั้นต้นยกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2568 โดยศาลมีคำวินิจฉัยว่า การทำคลิปให้สัมภาษณ์เป็นเพียงการนำบางส่วนของคำให้สัมภาษณ์ซึ่งมีถ้อยคำที่จำกัดมาใช้ประกอบเป็นหลักฐาน ซึ่งศาลเชื่อว่ามีคำสัมภาษณ์จริงที่มากกว่านี้ และคลิปที่มีมาเป็นเพียงบางส่วน โดยโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคลิปตัดต่อหรือไม่ และคำพูดของจำเลยไม่ได้เจาะจงถึงพระมหากษัตริย์ จึงยกผลประโยชน์ให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง
และต่อมาอัยการสูงสุดได้ยื่นอุทธรณ์ ทำให้ศาลอาญารับคำอุทธรณ์และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายต่อในชั้นศาลอุทธรณ์
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2568 ศาลฎีกา พิพากษากลับ สั่งให้นาย ทักษิณ จ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้าน จากการขายหุ้นชินคอร์ป ตามที่สรรพากรเรียกเก็บตามขั้นตอน
"อนุทิน" คว้าชิ้นปลามัน รวมเสียงชิงตั้งรัฐบาล
สืบเนื่องจากกรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา กัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทยและกองทัพไทย ตามที่ประชาชนได้รับทราบแล้วนั้น
โดยพรรคภูมิใจไทย ได้ออกแถลงการณ์ มติกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยมีมตีให้พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยทุกคน ได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทย ได้ทางเก้าอี้ รมว.คืนจากพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่าเสียงสะท้อนว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ตอบสนองนโยบายปราบยาเสพติด
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเพื่อไทย รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
จึงมีการดีลพรรคการเมืองเพื่อตั้งรัฐบาลกันใหม่ และเป็นฝ่ายนายอนุทิน ที่ปิดดีลทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชนเพื่อโหวตให้นายอนุทินนั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และพรรคประชาชนก็จะขอนั่งฝ่ายค้านต่อไป โดยให้คำมั่นจะอยู่ไม่เกิน 4 เดือน และจะยุบสภาฯ ทำให้รัฐบาลอนุทินเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง
นายท้ายที่สุดนายอนุทินได้ประกาศยุบสภากลางดึกวันที่ 11 ธ.ค.2568 จากกรณีเรื่องความไม่ลงตัวในการโหวตแก้รัฐธรรมนูญวาระ 2 ซึ่งการชิงยุบสภานี้ก่อนครบกำหนดไทม์ไลน์ 4 เดือน ในวันที่ 31 ม.ค.2568 ตาม MOA กับพรรคประชาชน ซึ่งมาสู่การเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569
"ภาษีทรัมป์" ทำสะเทือนโลก
หลังจาก "โดนัลด์ ทรัมป์" หวนคืนทำเนียบขาว เข้าสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยสองเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568
ไม่นานนักประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำของสหรัฐฯ ได้ลงนามและประกาศนโยบายภาษีตอบโต้ จากทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา
ประเทศไทย เป็น 1 ใน 14 ประเทศแรกที่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทุกประเภทกับประเทศที่ได้ดุลการค้า ไทย ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 37% และมีผลเมื่อ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายรัฐบาลได้เจรจาต่อรองจนเหลือ 19% มีผล 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้สินค้าไทยอาจถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพราะสินค้าจากประเทศอื่นอาจถูกเก็บภาษีน้อยกว่า
โดยในอาเซียน เวียดนามเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ตกลงเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามในอัตรา 20% , อินโดนีเซีย 19% , ฟิลิปปินส์ 19% , กัมพูชา 19 % , มาเลเซีย 19 % , บรูไน 25% ส่วน สปป.ลาวกับเมียนมา ถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% สิงคโปร์ 10%
ธรณีทรุด หน้า สน.สามเสน
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2568 เกิดเหตุถนนทรุดตัวครั้งใหญ่บริเวณถนนสามเสน ด้านหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ใกล้สถานีตำรวจนครบาลสามเสน ส่งผลให้พื้นผิวถนนยุบตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 30 เมตร ยาว 30 เมตร และลึกกว่า 50 เมตร สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนและผู้ใช้เส้นทางในพื้นที่
จากการตรวจสอบเบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่า สาเหตุหลักคาดว่าเกิดจากการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ โดยมีดินและน้ำรั่วไหลเข้าไปในอุโมงค์ระหว่างการก่อสร้าง ทำให้โครงสร้างดินด้านบนขาดความมั่นคงและเกิดการทรุดตัวในวงกว้าง เจ้าหน้าที่ต้องทำงานกัน 24 ชั่วโมง เพื่อซ่อมแซม
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ขณะที่ เจ้าหน้าที่จะทำการรื้ออาคารหลังใหม่ของ สน.สามเสน เนื่องจากพื้นใต้อาคารทรุดตัวหายไป มองเห็นเสาเข็มที่ลึกลงไปประมาณ 25 เมตร แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะพยายาม นำทรายถมเข้าไปใต้อาคารดังกล่าว เพื่อพยุงอาคารให้กลับมาเหมือนเดิมก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้
อ่านข่าว :
อาลัย "คนบันเทิง-ดารา" สิ้นแสง ปี 2568
ภัยพิบัติใหญ่ปี 68 แผ่นดินไหวสะเทือนไทยตึกถล่ม-มหาอุทกภัยใต้
"ภาษีทรัมป์" ป่วนการค้าโลก ทางรอดไทย "เจาะตลาดใหม่" กู้วิกฤตส่งออก











