ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ภาษีทรัมป์" ป่วนการค้าโลก ทางรอดไทย "เจาะตลาดใหม่" กู้วิกฤตส่งออก

เศรษฐกิจ
14:42
54
"ภาษีทรัมป์" ป่วนการค้าโลก ทางรอดไทย "เจาะตลาดใหม่" กู้วิกฤตส่งออก

สะเทือนทั่วโลกกลางปี 2568 หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกา ร่อนจดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯกับประเทศที่ได้ดุล การค้า และเก็บจริงวันที่ 1 ส.ค. 2568 โดย"ไทย" เป็น 1 ใน 14 ประเทศแรกที่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทุกประเภทกับประเทศที่ได้ดุลการค้า ไทย ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 37 % และมีผลเมื่อ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายรัฐบาลได้เจรจาต่อรองจนเหลือ 19 %

ส่วนสหภาพยุโรป ถูกเรียกเก็บ 20 %, จีน 34 % ,ญี่ปุ่น 24 % ,แอฟริกาใต้ 30 % ,ไต้หวัน 32 % ,อินเดีย 26 % ,กัมพูชา 49 % ,ลาว 48 % ,เวียดนาม 46 % ,เมียนมา 44 % ,อินโดนีเซีย 32 % ,มาเลเซีย 24 % ,ฟิลิปปินส์ 17 % ,สิงคโปร์ 10 % (ประกาศครั้งแรก)

สำหรับไทย แม้จะถูกเรียกเก็บภาษีลดลงเหลือ 19 % เท่ากับประเทศในอาเซียนในอัตราเดียวกัน แต่สินค้าที่ได้รับผลกระทบ คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง เนื่องจากมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯสูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก

สหรัฐฯแจ้ง ระงับเจรจา “ภาษี” โลกป่วนทั้งทวีป

หลังจาก ”ทรัมป์” ยื่นมือเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพ ความขัดแย้ง ระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือ Joint Declaration ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีนายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานเพื่อนำไปสู่แนวทางสันติ ยุติการสู้รบและลดการสูญเสียชีวิต

แต่ปรากฎว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งยังคงคุกรุ่น เพราะกัมพูชาไม่ปฎิบัติตาม Joint Declaration เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ขอระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว และจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าปฏิบัติตาม Joint Declaration

การประกาศดังกล่าว สร้างความวิตกกังวลและความไม่แน่นอนให้กับทุกฝ่าย เนื่องจากการเจรจาการค้ามีความคืบหน้าไปมากแล้ว แม้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้หารือเบื้องต้นกับ โดนัลด์ ทรัมป์ แล้วก็ตาม  แต่ไม่มีการพูดคุยเรื่องภาษีต่างตอบแทน

ขณะที่ฝ่ายไทยถือว่าเรื่องความมั่นคงมีความสำคัญ และเรื่องการค้าควรจะแยกออกจากกัน ไม่ควรจะนำมาเชื่อมโยงกัน ฉะนั้น ไทยจะเดินหน้าในการเจรจา ควบคู่กับเดินหน้าแก้ปัญหาที่มีอยู่กับกัมพูชา

แม้กระนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจเอกชนเกิดความวิตกจากความผันผวนและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามออกมาชี้แจงว่า การที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ส่งหนังสือระงับเจรจากับไทยชั่วคราว หนังสือดังกล่าวถูกส่งออกมาก่อนที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะมีการเจรจากับประธานาธิบดีสหรัฐ

ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมาตอกย้ำว่า รัฐบาลไทยพร้อมขับเคลื่อนให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐสำเร็จตามกรอบเวลา และรัฐบาลให้ความสำคัญทั้งการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย และท้ายที่สุดการเจรจาภาษีสหรัฐฯในประเด็นการค้ายังคงเดินหน้าต่อตามเป้าหมายเดิม ทั้งประ เด็นถิ่นกำเนิดสินค้า และ RVC เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

สำหรับกรอบการเจรจาที่จะพูดคุยหารือกับสหรัฐฯ ครอบคลุมประเด็นในด้านต่างๆ ที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันทั้งด้านภาษี มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี การค้าบริการ การลงทุน เศรษฐกิจดิจิทัล กฎถิ่นกำเนิดสินค้าและการป้องกันการหลบเลี่ยงอากร โอกาสในการจัดซื้อเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกัน

2569 ส่งออกวูบ 2.75 แสนล้านบาท ฉุด GDP เหลือ 1.48 %

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ประเมินว่าผลกระทบภาษี 19 % ในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี2568 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อส่งออกไทย 114,612 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 0.62 % แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยน แปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 106,518 ล้านบาท ซึ่งผล กระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 26,978 ล้านบาท แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 18,884 ล้านบาท

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย

ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2569 คาดว่าจะมีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการส่งออก 275,069 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 1.48% แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 255,643 ล้านบาท , ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 64,747 ล้านบาท

แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 45,322 ล้านบาท แต่มหาวิทยาลัยหอการค้า ยังคงเป้าหมายจีดีพีทั้งปี68 ไว้ที่ 1.5-2% โดยมีค่ากลางอยู่ที่1.7%

ความสามารถการแข่งขันส่งออกสินค้าไทย พบว่า ไทยเสียเปรียบคู่แข่งไม่มากนัก เนื่องจากมีอัตราภาษีใกล้เคียงกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา แต่กลุ่มที่ได้เปรียบไทย มีเพียงสิงคโปร์ที่ได้อัตราภาษี 10% รองลงมา คือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ได้รับอัตราภาษี 15% ส่วนกลุ่มที่ไทยได้เปรียบในการส่งออกมีหลายระดับ เริ่มจากเวียดนาม ไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศที่ได้รับภาษี 20% ตามด้วยอินเดียและบรูไนที่ 25% ลาวและเมียนมาที่ 40%

เปิด 15 สินค้าหลักไทยกระทบหนัก-สินค้าจีนทะลัก

ทั้งนี้สินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบมากจะเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าสูง โดยสินค้า 15 อันดับแรกที่ส่งออกไปสหรัฐฯมาก ได้แก่ 1.โทรศัพท์มือถือ 2.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3.ยางรถยนต์ 4.เซมิคอนดักเตอร์ 5.หม้อแปลงไฟฟ้า 6.ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ 7.ชิ้นส่วนรถยนต์ 8.อัญมณี 9.เครื่องปรับอากาศ 10.กล้องถ่ายรูป 11.เครื่องปริ้นเตอร์ 12.วัตถุดิบอาหารสัตว์ 13.แผงวงจรอิเลกทรอนิกส์ 14.ข้าว และ 15.ตู้เย็น

มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อ 4 กลุ่มสินค้า คือ เหล็ก, ผลิตภัณฑ์เหล็ก, อะลูมิเนียม, รถยนต์ อุปกรณ์-ส่วนประกอบ ซึ่งอัตราภาษีที่ประกาศใช้อยู่ที่ 25 % โดยทั้ง 4 กลุ่ม ประเมินมูลค่าการส่งออกในปี 2568 รวมกันที่ราว 4,727 ล้านดอลลาร์ฯ แต่หากได้รับผลกระทบจากกรณีทรัมป์ 2.0 อาจจะทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงเหลือราว 4,077 ล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็นมูลค่าของผลกระทบราว 650 ล้านดอลลาร์ (21,900 ล้านบาท)

ส่วนผลกระทบทางอ้อม อาจส่งผลให้การทะลักของสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าไทย จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น เครื่องจักรกล, เฟอร์นิเจอร์, สินค้าเบ็ดเตล็ด, อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เป็นต้น เนื่องจากจีนจำเป็นต้องหาตลาดส่งออกใหม่ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายนี้

ทั้งนี้ผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เคยประเมินว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐกระทบต่อสินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐค่อนข้างมาก ทั้งเครื่องโทรศัพท์ โทรสาร เครื่องปรับอากาศ รถยนต์ ขณะที่สินค้าเกษตรก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งสินค้าแต่ละตัวก็ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐในครั้งนี้ยังมีแนวทางแก้ไข คือ การเจรจากับสหรัฐในแต่ละประเทศที่โดนสหรัฐขึ้นภาษีจะเป็นตัววัดว่า ช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ต่อเนื่องไปปี 2569 เรื่องของคำสั่งซื้อสินค้าจะไปที่ประเทศไหนมากกว่ากัน ซึ่งอยู่กับความสามารถในการเจรจาของแต่ละประเทศ และจะชิงความได้เปรียบทางการค้ามากกว่าประเทศที่เจรจาด้อยกว่า

เจาะตลาดใหม่ บุกตลาดจีน เพิ่มทางรอดผู้ประกอบการ

ภาษี 19% ที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ แม้ว่าจะลงลงมาจาก37% แต่ก็ยังทำให้การแข่งขันในตลาดโลกค่อนข้างยากลำบาก เพราะสินค้าไทยหลายรายการเสียเปรียบบางประเทศในแถบอาเซียนที่ถูกเรียกเก็บภาษีถูกกว่าไทย

ดังนั้นสิ่งที่ไทยทำได้คือ การหาตลาดใหม่ แม้ว่า สหรัฐฯจะเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ มีแผนบุกตลาดจีนโดยเน้นเจาะรายมณฑล เพระจีนมีประชากรกว่าพันล้านคน นอกจากตลาดอินเดีย ตะวันออกกลาง ยังเป็นหมุดหมายของสินค้าไทยที่จะเข้าไปขยายตลาด

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกของไทยในเดือนต.ค.2568 มีมูลค่า 28,835.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 910,316 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ที่ 5.7% โดยการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป รวมถึงตลาดรอง เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ที่ยังคงขยายตัวได้ดี

แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แรงสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงสินค้ากลุ่มยานยนต์ และภาคการผลิตโลกที่อยู่ในภาวะขยายตัว จากผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.68) ขยายตัวที่13% มีมูลค่า 282,982.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 286,848.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว12.4 % และขาดดุลการค้าที่ 3,866.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับตลาดสำคัญส่งออกสำคัญของไทยยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง หลังมีการเร่งนำเข้าไปค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ เช่น ตลาดหลัก ขยายตัว 10.2% โดยขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ 32.9% จีนขยายตัว 9.3 % ญี่ปุ่น ขยายตัว 1.9% สหภาพยุโรป (27) ขยายตัว 9.9% และอาเซียน (5) ขยายตัว 5.4%

ขณะที่ตลาด CLMV หดตัว15.6 % ขณะที่ ตลาดรอง ขยายตัว 7.2% โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ 24.7% ตะวันออกกลาง ขยายตัว 9.4% ลาตินอเมริกา ขยายตัว 18.4% ขณะที่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย 0.2% ทวีปแอฟริกา หดตัว 3.0 % รัสเซียและกลุ่ม CIS หดตัว5.0% และสหราชอาณาจักร หดตัว10.3 % และ ตลาดอื่น ๆ หดตัว 70.5%

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

ตลาดสหรัฐฯส่งออกขยายต่อเนื่อง 25 เดือน

ทั้งนี้ในส่วนของ ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งขยายตัวต่อเนื่อง 25 เดือน สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่งผลให้10 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 29.1%

โดยภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในปี 2567 สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าลำดับที่ 2 ของไทย รองจากจีน มีมูลค่าการค้ารวม 74,484.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าการส่งออก 54,956.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์และอุปกรณ์ และสหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ด้วยมูลค่าการนำเข้า 19,528.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ก๊าซธรรมชาติ และเครื่องบิน

ส่วนตลาดจีน ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และยางพารา สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม 10 เดือนแรก ขยายตัว15.5 %

ดังนั้น ตลาดจีนจึงเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยด้วย เช่นเดียวกับตลาดญี่ปุ่น ตลาดสหภาพยุโรป ตลาดอาเซียน(5) รวมถึงตลาด CLMV ตลาดเอเชียใต้ และตลาดตะวันออกกลาง และตลาดทวีปแอฟริกา เป็นต้นที่ไทยกำลังมุ่งขยายตลาดเพื่อรองรับและขยายตลาดจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายและแผนงานในการขยายการส่งออกของไทย อาทิ การรักษาตลาดเดิม บุกตลาดศักยภาพใหม่ เร่งเจรจาความตกลงเพื่อเปิดประตูการค้า ในขณะที่ต้องเร่งเจรจาข้อตกลง Reciprocal Tariff พร้อมยกระดับหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ และหาข้อสรุปให้มีความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์จากความตกลงให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีเพื่อให้ผู้ส่งออกได้รับทราบข้อมูลที่จำเป็นในการบริหารจัดการต่อไป

ดังนั้นแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความต้องการในระดับสูง รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายปี และปริมาณสินค้าเกษตรของไทยที่อาจลดลงจากปัญหาอุทกภัย ล้วนเป็นปัจจัยที่กระทรวงพาณิชย์ต้องติดตามต่อไป

 

อ่านข่าว:

จับตาเจรจาหยุดโลก “ทรัมป์ – สี จิ้นผิง” 30 ต.ค. ชี้ชะตาทิศทางสงครามการค้าโลก

ไทย-สหรัฐฯ เตรียมออกแถลงการณ์ บรรลุภาษีตอบโต้19% มีผล 7 ส.ค. เวลา 00.01 น.

ภาษีตอบโต้ 36 % ไทย "ไร้แสงปลายอุโมงค์" คาดครึ่งปีหลังลบหนัก