ตลาด“ทองคำ”ยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน โดยเจรจาล่าสุดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ การหารือครั้งนี้ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ทั้งการขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าและการจัดการกับ แร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์
เว็บไซต์ “ฮั้วเซ่งเฮง” วิเคราะห์ว่า ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวผันผวน ระยะสั้นภาพทางเทคนิคยังอยู่ในกรอบ Symmetrical Triangle ซึ่งสะท้อนถึงภาวะ “รอเลือกทาง” นักลงทุนกำลังจับตาปัจจัยข่าวสำคัญ โดยเฉพาะผลการเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และจีน ที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางทองคำ
หากการเจรจามีความคืบหน้าและนำไปสู่ข้อตกลงเชิงบวก อาจกระตุ้นแรงขายทำกำไรในตลาดทองคำได้รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มหลักยังคงเป็น ขาขึ้น โดยมีแนวรับในกรอบ 4,000 – 4,040 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริเวณเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นด้านล่างและแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา หากราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้ มีแนวรับถัดไปที่ 3,890 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านที่ 4,180 ดอลลาร์ และ 4,300 ดอลลาร์
สำหรับ ทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 62,700 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 62,500 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 64,200 บาท และ 65,600 บาท
ฮั้วเซ่งเฮง” วิเคราะห์อีกว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลง (-139.3) ดอลลาร์ หรือราว (-3.28%) หลังจากขึ้นติดต่อกัน 9 สัปดาห์ ทำ All-time High ที่ 4,111.5 ดอลลาร์ และทำจุดต่ำสุดที่ 4,004.4 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน โดยเจรจาล่าสุดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงจุดที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะตัดสินใจร่วมกันได้ว่าข้อตกลงจะเกิดขึ้นหรือไม่ภายในสัปดาห์หน้า การหารือครั้งนี้ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ทั้งการขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าและการจัดการกับ แร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์
การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นนอกรอบการประชุมอาเซียน โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และรองนายกรัฐมนตรีจีนเข้าร่วม ถือเป็นการพูดคุยรอบที่ 5 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายความตึงเครียด หลังจากที่ทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงถึง 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เพื่อโต้ตอบการที่จีนจำกัดการส่งออกแม่เหล็กและแร่หายาก
จับตาการพบปะ “ทรัมป์–สี จิ้นผิง” 30 ต.ค.นี้ ชี้ชะตาทิศทางสงครามการค้าโลก
ทั้งนี้ทั่วโลกจับตาการพบปะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีน ระหว่างการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก (เอเปค) ที่เกาหลีใต้ วันที่ 31 ต.ค. – 1 พ.ย.2568 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจ
โดนัล ทรัมป์
โดนัล ทรัมป์
ทั้งนี้สหรัฐฯ เตรียมหยิบยก 3 ประเด็นหลักขึ้นเจรจากับจีน ได้แก่ แร่หายาก (Rare Earths): เรียกร้องให้จีนยกเลิกข้อจำกัดการส่งออก ถั่วเหลือง: ขอให้จีนกลับมานำเข้าจากสหรัฐฯ หลังลดเหลือศูนย์ในเดือนกันยายน เฟนทานิล: เรียกร้องให้จีนยุติการส่งออกสารตั้งต้นของยาเสพติดที่เป็นปัญหาในสหรัฐฯ
ความคืบหน้าล่าสุด นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นสำคัญ ทั้งการค้า แร่หายาก สารเฟนทานิล ติ๊กต๊อก (TikTok) สินค้าเกษตร และความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยการเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และครอบคลุมทุกมิติ และเสริมว่า การขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทรัมป์
โดยก่อนหน้าการประชุม ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลาย โดยกล่าวว่า “อัตราภาษีศุลกากรในระดับสูงที่สหรัฐฯ ใช้ตอบโต้จีน ไม่สามารถคงอยู่ได้ในระยะยาว” ซึ่งช่วยคลายความกังวลของตลาดต่อการยกระดับสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม เขายังระบุว่า “มาตรการดังกล่าวอาจดำรงอยู่ได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่ยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนว่าท่าทีของสหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจนว่าจะยุติการขยายเวลาภาษีศุลกากรที่มีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 10 พ.ย.นี้หรือไม่
แม้ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงเจตนารมณ์ต้องการ ฟื้นเสถียรภาพทางความสัมพันธ์ แต่ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะประนีประนอมในประเด็นยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีและความมั่นคง ยังคงต่ำ ทำให้ผลลัพธ์ของการเจรจาอาจเป็นเพียงการผ่อนคลายชั่วคราว มากกว่าจะยุติสงครามการค้าอย่างถาวร
แม้ว่าผลการเจรจาระหว่างสองชาติมหาอำนาจในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยชี้นำสำคัญของตลาดการเงินทั่วโลก หากสามารถบรรลุข้อตกลงได้ตลาดการเงินอาจเข้าสู่ภาวะคลายกังวล และราคาทองคำมีโอกาส “ปรับฐานระยะสั้น” จากแรงขายทำกำไร แต่หากการเจรจาล้มเหลวหรือไม่บรรลุผลเป็นรูปธรรม ความไม่แน่นอนจะกลับมาครอบคลุมตลาดอีกครั้ง ส่งผลให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระยะถัดไป
ชัตดาวน์สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4
ในขณะที่การชัตดาวน์ ซึ่งกลายเป็นการหยุดทำงานที่ยาวนานอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง พรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรคเดโมแครต ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการขยายเวลาการอุดหนุนประกันสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคน การชะงักงันครั้งนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อการให้บริการสาธารณะ
โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมการบินของสหรัฐฯ ซึ่งพนักงานควบคุมการบินกว่า 60,000 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามบินจำนวนมากต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเดินทาง และทำให้สำนักงานการบิน (FAA) ต้องสั่งหยุดเที่ยวบินบางส่วนในเมืองฮิวสตันเนื่องจากขาดแคลนบุคลากร ขณะเดียวกัน ฝ่ายรีพับลิกันในวุฒิสภากำลังเผชิญแรงกดดันให้ ยกเลิกเกณฑ์เสียงข้างมาก 60 เสียง (filibuster) เพื่อผลักดันร่างงบประมาณให้ผ่านได้โดยไม่ต้องพึ่งเสียงจากเดโมแครต แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณของข้อตกลง
ลุ้น เฟดลดดอกเบี้ยอีกครั้ง
หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลดัชนีเงินเฟ้อ CPI ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคืนวันที่ 29 ตุลาคม เวลา 01.00 น. ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ระบุว่า ตลาดให้น้ำหนัก 98.3% ต่อความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75–4.00% และยังคาดการณ์ต่ออีกว่า ในการประชุมเดือนธันวาคม เฟดมีโอกาสสูงถึง 91.1% ที่จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25%
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตา ถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในเวลา 01.30 น. เพื่อหาสัญญาณแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม รวมถึงมุมมองของเฟดต่อ ความตึงตัวของตลาดแรงงาน ซึ่งยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญระหว่างเป้าหมายการจ้างงานเต็มที่และการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม
“กูรูทอง” มองทองยังเป็นขาขึ้น สู่เป้าหมายเหนือ 5,000 ดอลลาร์
สำหรับสถานการณ์ทองคำ 2 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก เจพี มอร์แกน และ โกลด์แมน แซคส์ ต่างส่งสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว โดยเจพี มอร์แกนคาดว่าราคาทองจะเฉลี่ยแตะ 5,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาส 4 ปี 2569 หนุนจากแรงซื้อของธนาคารกลางและนักลงทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังคงเป้าหมายระยะยาวที่ 6,000 ดอลลาร์ภายในปี 2571
ด้านโกลด์แมน แซคส์ยังคงมุมมอง ขาขึ้นเชิงโครงสร้าง ต่อทองคำ แม้ราคาจะอ่อนตัวจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,378 ดอลลาร์ ลงมาอยู่ราว 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมองว่าแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก จะเป็นแรงหนุนสำคัญ พร้อมคงเป้าหมายราคาทองสิ้นปี 2026 ที่ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์เด่นในยุคดอกเบี้ยขาลง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความกังวลต่อภาวะ stagflation และความไม่แน่นอนของเสถียรภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มน้ำหนักการถือครองทองคำในพอร์ตต่อเนื่อง
กูรูยักษ์ออกมาคาดการณ์ "ทองคำ"ยังเป็นขาขึ้นแบบนี้ "เม่าดอย"ได้ยินแล้วคงสบายใจ แต่ก็คงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิดเพราะมีพลิกผันได้เสมอ
อ่านข่าว:
เทศกาลเททอง ฉุดทองดิ่งรอบ 5 ปี เหตุดอลลาร์ "แข็ง"นักลงทุนหนีสินทรัพย์ปลอดภัย
เส้นทางทองคำ "การค้า-การเมืองสหรัฐฯ" ดันราคา ทะยานไม่หยุด
กระแสตื่นทองทั่วโลกทำราคาปรับแรง ประชาชนแห่ซื้อ-ขาย











