กลายเป็นปรากฎการณ์ “ทองคำ” แห่งปี หลังปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้าง All Time High หลายครั้งในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า ราคาทองโลกอาจจะทะยานไม่หยุด โดยทำราคาพุ่งแรงกว่า 1,350 ดอลลาร์ หรือราว 51% และยังทำจุดสูงสุดที่ 3,977.34 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองแท่งในประเทศ แตะจุดสูงสุดที่ 67,400 บาทต่อบาททองคำ (ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เวลา 10.52 น.) ยืนยันสถานะ“สินทรัพย์” ปลอดภัยบนเส้นทางของนักลงทุนทั่วโลก

แน่นอนว่า การที่ทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ทั้งรายใหญ่ รายย่อย และบรรดาแมงเม่าที่ไม่อยากตกขบวนรถไฟในครั้งนี้ ซึ่งกูรูวงการทองต่างออกมาวิเคราะห์ว่า อาจจะได้เห็นราคาทองคำแตะที่บาทละ 68,500-75,700บาทต่อบาททองคำ จนไปถึง 100,000 บาททองคำกันเลยทีเดียว
สำหรับปัจจัยที่ดันให้ทองคำพุ่งแบบฉุดไม่อยู่ สาเหตุเกิดจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลางยังเป็นฉนวนเสี่ยง แต่แรงส่งรอบล่าสุด คือ “วิกฤติการเมืองสหรัฐฯ” หลังสภาคองเกรสไม่ผ่านงบประมาณ จนทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” (Government Shutdown) ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ฉุดความเชื่อมั่นตลาด กดดันดอลลาร์สหรัฐฯ และหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ราคาทองจึงทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงเริ่มชัตดาวน์ ขณะที่นักลงทุนต่างคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมและข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าช้าหรือเลื่อนประกาศออกไป เพราะหน่วยงานรัฐปิดทำการ

ฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์กรณี ที่สหรัฐเข้าสู่ภาวะซัตดาวน์ ไว้ว่าการที่ทองคำและหุ้น พากันทำนิวไฮ ไม่ใช่เรื่องปกติ โดยข้อมูลจาก Forbes สะท้อนภาพ ความผิดปกติแต่เกิดขึ้นจริง ในปี 2024 – 2025 เมื่อทองคำและหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดพร้อมกันหลายครั้ง ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก เพราะทองคำมักพุ่งขึ้นเมื่อความเสี่ยงเพิ่ม แต่หุ้นมักพุ่งขึ้นเมื่อตลาดมีความเชื่อมั่น หรือมีความชัดเจน
โดยในปี 2025 เกิดเหตุการณ์ที่ทองคำและหุ้นทำจุดสูงสุดในวันเดียวกันแล้ว 6 ครั้ง และเมื่อปี 2024 เกิดขึ้นถึง 10 ครั้ง ขณะที่ตลอดช่วงปี 1970 – 2023 เกิดเพียง “สองครั้ง” เท่านั้น (ในปี 1972) ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ความแปลกตาทางสถิติในรอบครึ่งศตวรรษ และเข้ากับบรรยากาศความไม่แน่นอนล่าสุดจากภาวะชัตดาวน์ที่เกื้อหนุนฝั่งทองคำ
การที่สินทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้ปรับขึ้นพร้อมกันสะท้อนถึงปัจจัยขับเคลื่อนหลายประการที่สอดคล้องกัน ตั้งแต่ ดอลลาร์อ่อนค่าลง ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบาย รวมทั้งการที่นักลงทุนกระจายความเสี่ยงพร้อมกันทั้งฝั่งเสี่ยงและฝั่งหลบภัย

อย่างไรก็ตาม หากย้อนสำรวจราคาทองกับภาวะชัตดาวน์สมัยทรัมป์ 1 จะพบว่า ครั้งที่ 1 วันที่ 20 –22 มกราคม 2018 (3 วัน) หลังจากเปิดทำการ 1 สัปดาห์ ราคาทองโลกปรับตัวขึ้น +17.8 ดอลลาร์ ครั้งที่ 2 วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2018 (ภายในวัน) หลังจากเปิดทำการ 1 สัปดาห์ ราคาทองโลกปรับตัวขึ้น +28.1 ดอลลาร์ และ ครั้งที่ 3 วันที่ 22 ธันวาคม 2018 – วันที่ 25 มกราคม 2019 (35 วัน) ราคาทองในช่วง 35 วัน ปรับเพิ่มขึ้น +25.3 ดอลลาร์ (จาก 1,255.3 ดอลลาร์ สู่ 1,280.8 ดอลลาร์) และหลังจากเปิดทำการ 1 สัปดาห์ ราคาทองโลกปรับตัวขึ้น +36.4 ดอลลาร์
ชัตดาวน์สหรัฐฯ เข้าสัปดาห์ที่ 3 “ทองคำ” ยากปรับตัวลง
ข้อมูลทางสถิติ ภาวะชัตดาวน์ครั้งที่ 1 และ 2 กินระยะเวลาเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ และเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งแตกต่างกับครั้งที่ 3 ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 35 วัน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ ราคาทองอาจปรับตัวลงได้ยาก
ในทางกลับกัน แม้รัฐบาลจะสามารถบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณได้ ราคาทองก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ เพราะนักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ดังนั้น แนวโน้มที่ราคาทองคำจะอยู่เหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือทองคำแท่งในประเทศบาทละ 61,500 บาทขึ้นไป มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง

ขณะที่สหรัฐฯ เตรียมเผชิญภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ กำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ตลาดคาดการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะปิดทำการ (Government Shutdown) มากกว่า 30 วัน อยู่ที่ 82% ขณะที่คาดการณ์น้อยกว่า 30 วัน เพียง 18% ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ที่ดำเนินมาแล้วสองสัปดาห์ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สูญเสียผลผลิตสูงสุดถึงสัปดาห์ละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่า หากชัตดาวน์สหรัฐฯ ยิ่งยืดยาว จะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ชี้ทิศทางราคา “ทองคำ” อีก 2 ปี ช่วงขาขึ้น
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อย 2 ปี เนื่องจากปัจจัยบวกสำคัญหลายด้านยังแข็งแกร่ง ทั้งการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า

แต่ปัจจัยที่สำคัญในช่วง 1- 2 ปี นับจากนี้ น้ำหนักจะอยู่ที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ(เฟด) ซึ่งจากสถิติในช่วงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดแต่ละครั้งพบมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไปในทิศทางเดียวกัน หากพิจารณาย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 4 รอบ
รอบที่ 1ในปี 2543 เกิดฟองสบู่ดอทคอม (Dot-comBubbleBurst) ที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ โตแรงจากหุ้น เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงอย่างรุนแรง กดดันการลงทุนภาคธุรกิจ (business investment) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ

รอบที่ 2 ในปี 2550 เกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐจากการปล่อยกู้สินเชื่อบ้านเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage Crisis) ทำให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. 2550
รอบที่ 3 ปี 2562 หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยล่วงหน้า โดยเฟดระบุว่าเป็น Insurance Cut ก่อนที่เฟดจะปรับ “ลด” อัตราดอกเบี้ย อย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 2563 จากวิกฤติ COVID-19 และรอบที่4 ปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เฟดจึงได้ปรับ นโยบายการเงินเข้าสู่สภาวะปกติ (Fed Policy Normalization) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
นักลงทุน เทน้ำหนัก 96.8% ต.ค.นี้เฟดลดดอกเบี้ย
ดังนั้นหากดูรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้งก่อน หน้าว่า ราคาทองคำตอบสนองในเชิงบวกตลอดช่วง 24 เดือนหลังเฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2543 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 39% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2550 และปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2562

ในขณะที่อัตราเฉลี่ยของทองคำที่ปรับตัวขึ้นราวอยู่ที่ 32% ในระยะเวลา 2 ปีหลังเฟดเริ่มวงจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบปัจจุบันที่เริ่มต้นในปี 2567 ยังไม่แน่ชัดว่าอัตราดอกเบี้ยปลายทาง (Terminal Rate) จะอยู่ที่เท่าไหร่ แต่อัตราดอกเบี้ย ณ ปัจจุบันที่ผ่านมาแล้วเกือบ 1 ปีอยู่ที่ระดับ 4.25% ขณะที่ทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้ว 64%
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 96.8% ที่เฟดจะมี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนต.ค. และมีโอกาส 81.1% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อีกครั้งในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนยังเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อีกด้วย นอกจากนี้ตลาดยังคาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2026
วายแอลจี ชี้โอกาสสูงแตะ 68,500-75,700 บาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาทองคำ YLG ประเมินว่าหากได้รับปัจจัยบวกอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมีโอกาสมีอาจจะไปได้ถึง 4,435-4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ และมองว่าทองคำในประเทศมีโอกาสเห็น 68,500-75,700บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)

นอกจากปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยที่หนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น อีกปัจจัยใหญ่ที่ผลักดันราคาทองในระยะยาวคือ กระแส De-dollarization ที่เกิดจากความพยายามของธนาคารกลางหลายประเทศในการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ และหันมาถือทองคำแทน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองปีละกว่า 1,000 ตัน โดยในปีนี้มียอดซื้อแล้วถึง 475 ตัน คาดว่าสิ้นปีอาจแตะ 800 ตัน ซึ่งสะท้อนความต้องการทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัยระยะยาว ได้อย่างชัดเจน
รายย่อยไม่หวั่น ราคาทองพุ่ง แห่ลงทุนหวังกำไร
นักลงทุนรายย่อยรายหนึ่ง กล่าวกับ ไทยพีบีเอสออนไลน์ ว่า สาเหตุที่เข้ามาลงทุนทองในช่วงนี้ เพราะมีเพื่อนที่รู้จักลงทุนในทองคำแล้วได้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้สนใจที่จะเข้ามาลงทุน แม้ว่าจะมีความเสี่ยง แต่ทองำก็เป็นสินทรัพย์ที่ดีและปลอดภัย มีขึ้นมีลง แต่ไม่ขาดทุนแน่นอน ถ้าเข้าถูกจังหวะ โดยลงทุนครั้งหลักพันบาท ได้ผลตอบแทนหลักสิบบาท หลังจากนั้นก็ทยอยลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้มองว่า การลงทุนในตลาดทองคำในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีแต่เงินที่นำมาลงทุนต้องเป็นเงินเย็น ต้องไม่ใช่เงินที่ต้องใช้จ่ายประจำวันหรือไว้ยามฉุกเฉินเพราะหากวางแผนไม่ดีอาจจะทำให้สภาพคล่องมีปัญหาได้

สอดคล้องกับนักลงทุนรายย่อยอีกราย กล่าวว่า นำเงินเก็บมาลงทุนทองคำแท่ง โดยมาซื้อที่ร้านทอง เก็บไว้ในยามจำเป็นแม้ว่าราคาทองคำแท่งจะปรับตัวสูงถึงบาทละ67,000 บาทแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นไปอีก
สถิติราคาทองคำจากสมาคมผู้ค้าทองคำ ในช่วง 5 ปี (2564-2568) พบว่า ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2564 ทองคำปรับขึ้น 1,800 บาททองคำ ,ปี 2565 ทองคำปรับขึ้น 1,200 บาททองคำ,ปี 2566 ทองคำปรับขึ้น 3,800 บาททองคำ,ปี 2567 ทองคำปรับขึ้น 8,750 บาททองคำและปี 2568 ทองคำปรับขึ้น 24,700 บาททองคำ โดยราคาทองคำสูงสุดอยู่ที่ 67,400 บาททองคำ ราคาต่ำสุดที่ 42,550 บาททองคำ
โดยราคาทองวันนี้ ( 21 ต.ค.2568) ทองคำแห่งขายออก 67,100 บาททองคำและร้านทองรับซื้อ 67,000 บาททองคำ และทองรูปพรรรณ ขายออกบาทละ 67,900 บาททองคำและร้านทองรับซื้อ 65,657.96 บาททองคำ และทองGold Spot อยู่ที่ 4,347 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เงินบาทอยู่ที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ไม่ว่าราคาทองคำ ทั้งรูปพรรณและทองแท่ง จะพุ่งทยานขึ้นเพียงใด แต่ถนนทุกสาย ยังมุ่งตรงไปยังตลาด”ทองคำ”กันอย่างหนาแน่น และนาทีนี้ คงไม่มีใครอยากพลาด ตกขบวนรถไฟความเร็วสูง เส้นทางนี้แน่นอน
อ่านข่าว:
“ทองคำ” สร้างสถิติสูงสุดรอบ 46 ปี สถาบันการเงินโลกชี้ราคาถึง 4,000 ดอลลาร์
“ทองคำ”สินทรัพย์อมตะแห่งยุค 4 ปัจจัยบวกดันทองพุ่ง
ส่องตลาดบ้านหรู เป็นได้ทั้งพลุ-ระเบิดเวลา
“ชาไทย” จากท้องถิ่นสู่ตลาดโลก โอกาสใหม่เศรษฐกิจสร้างสรรค์