เรียกได้ว่า “ราคาทองคำ” ปีนี้ร้อนแรงตั้งแต่ต้นปี ไม่เพียงขึ้นแรงยังสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ยังให้ผลตอบแทน 43% สูงสุดในรอบ 46 ปี เร่งหนุนที่ทำให้ราคาทองคำพุ่ง ปัจจัยหลักๆมาจากความไม่มั่นใจเศรษฐกิจโลก สงครามระหว่างประเทศ จนทำให้ “ทองคำ” ถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยของเหล่านักลงทุน และธนาคารกลางต่างๆแห่ลงทุนทองคำเพื่อสำรองในคลังของประเทศจนแตะระดับพันตันต่อปี รวมไปถึงเงินที่ไหลกลับสู่กองทุน ETF ซึ่งเป็นการถือครองรวมสูงสุดนับจากปี 2020 ประกอบกับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง เป็นตัวเร่งให้ทองคำกลับมาเป็นแกนสำคัญของพอร์ตลงทุนทั่วโลก ตอกย้ำภาพ สินทรัพย์สร้างสถิติที่พุ่งอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลของ Metals Focus พบว่า ตั้งแต่ปี 2022 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิปีละมากกว่า 1,000 ตัน และคาดว่าปีนี้จะซื้อทองเพิ่มเติมอีกประมาณ 900 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยรายปีที่ 457 ตัน ในช่วงปี 2016 – 2021 ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งพยายามลดความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ (De-Dollarization) หลังจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกทำให้รัสเซียสูญเสียเงินทุนสำรองต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่งในปี 2022
โดยนักลงทุนสถาบันเองพุ่งความสนใจไปที่ทองคำเช่นกัน สะท้อนจากการที่มีเงินไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำ ในช่วงม.ค. – ก.ค. รวม 420 ตัน ผลักดันให้การถือครองรวมของ ETF สู่ 3,639 ตัน เมื่อสิ้นก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่สิงหาคม 2020 และเข้าใกล้สถิติเดิมที่ราว 3,915 ตัน ในช่วง 5 ปีก่อน และยังมีสัญญาณเด่นจาก SPDR Gold Trust ที่กลับมาถือครองเกิน 1,000 ตัน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และซื้อสุทธิในปีนี้กว่า 127.18 ตัน (ข้อมูล วันที่ 23 ก.ย. 2568) ส่งผลให้ภาพรวมตลาดมีทั้ง จากผู้เล่นภาครัฐและจากเงินกองทุนที่ทำให้สภาพคล่องหนาแน่นยิ่งขึ้นความแข็งแรงของสถิติเหล่านี้

กูรูทองไทย ชี้ 4 ปัจจัยหนุน “ทองคำพุ่ง”
เหล่านี้คือภาพที่แสดงเห็นว่า ราคาทองคำโลกได้ปัจจัยหนุนให้มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG)ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งมีปัจจัยบวกหลัก 4 ปัจจัย คือ 1.กระแสความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ ( เฟด ) ถูกจับตามากขึ้น เมื่อทรัมป์ วิพากวิจารณ์การทำงานของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากความเป็นอิสระของเฟดถูกกัดกร่อนจะบั่นทอนสถานะของดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินสำรองและลดความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ฯ ซึ่งจะหนุนทองคำปรับตัวขึ้น
2. แนวโน้มที่เฟดลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดอกเบี้ยขาลง 3. แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งวายแอลจี มองว่า กระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์ (de-dollarization) เป็นส่วนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเร่งตัวของแรงซื้อทองคำในหมู่ธนาคารกลางทั่วโลกอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2565 - 2567

ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตันต่อปี ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2553 -2564 ที่ 478 ตันกว่า 2 เท่า โดยเฉพาะจีนที่ซื้อทองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมากขึ้น
ล่าสุด ธนาคารกลางจีน ( PBOC ) เพิ่มการถือครองทองคำในเดือน ส.ค. เป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน โดย PBOC ถือครองทองเพิ่มขึ้น 60,000 ออนซ์ หรือ 1.87 ตัน สู่ระดับ 74.02 ล้านทรอยออนซ์ หรือ 2,302.47 ตันในเดือนที่แล้ว ทำให้สัดส่วนทองคำของจีนในเงินทุนสำรองเพิ่มจาก 3.8% เป็นเกือบ 7%
และปัจจัยสุดท้าย คือ กระแสเงินทุนไหลเข้าจากกองทุน ETF ทองคำหลังจากเกิดกระแสเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกันในปี 2566-2567 แต่ปีนี้หนึ่งในผู้ซื้อหลักที่กลับมา คือ กองทุน ETF ทองคำทั่วโลก นับว่าเป็นอีกปัจจัยที่กลับมาหนุนทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้พบว่าตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 26 ก.ย. กองทุน ETF ทอง “ทั่วโลก” ยังคงถือครองทองคำเพิ่มรวม 587.8 ตันสู่ระดับ 3,7806.6 ตัน

“การเมืองฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นชะลอขึ้นดบ.” ปัจจัยหนุนทองพุ่ง
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ทองคำที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและพุ่งแรงมาจากทั้งปัจจัยเดิมและปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เสี่ยงเจอวิกฤตการเมือง รวมถึงญี่ปุ่นที่มีโอกาสชะลอขึ้นดอกเบี้ยของนายกหญิงคนแรก
ขณะที่ปัจจัยบวกเดิมยังแข็งแกร่งทั้งการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มความไม่แน่นอนต่อทิศทางเศรษฐกิจ ขณะที่เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนนี้ รวมถึงการเข้าซื้อทองอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก พร้อมด้วยแรงซื้อจากรายย่อยผ่านกองทุน ETF ที่เพิ่มมากสุดในรอบกว่า 3 ปี
ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ภายในสิ้นเดือนนี้ นอกจากนี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยุโรปตะวันออก หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้เกิดความกังวลว่าความเสี่ยงจะบานปลาย ซึ่งมักจะผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ธนาคารกลางทั่วโลกยังแห่ “ตุน” ทอง
ประธานวายแอลจี กล่าวอีกว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีแรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อยผ่านกองทุน ETF ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบกว่า 3 ปี และยังมีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทองคำในช่วงนี้ มองว่าราคาทองคำมีโอกาสเคลื่อนไหวในทิศทางบวกได้ต่อเนื่อง ซึ่งวายแอลจี ตั้งเป้าหมาย 4,000 และ 4,435 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมีทิศทางเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับทองคำในตลาดโลก เป้าทองไทยที่ 61,600-68,000 บาทต่อบาททองคำ (คำนวนจากค่าเงินบาทระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)

"ฮั่วเซ่งเฮง" ชี้ทองคำยังขาขึ้น แนะลงทุนอย่างระวัง
ด้าน“ฮั่วเซ่งเฮง”วิเคราะห์ว่า แนวโน้มราคาทองยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น จากการที่สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์เป็นวันที่ 8 โดยทรัมป์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนที่ถูกให้หยุดงานชั่วคราวจากภาวะชัตดาวน์ อาจไม่ได้รับเงินชดเชยย้อนหลังเมื่อหน่วยงานกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ทั้งนี้ สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ ประเมินว่า การชัตดาวน์สหรัฐฯ ครั้งนี้อาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐราว 750,000 คนต้องถูกพักงานชั่วคราว และอาจทำให้สหรัฐฯ มีการจ้างงานที่อ่อนแอ ขณะที่นาย Ray Dalio เจ้าของกองทุน Hedge Funs สหรัฐฯ ได้กล่าวถึงทองคำเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากระเบิดเวลาหนี้สินสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นวิกฤติ

นอกจากนี้ นาง Lina Thomas นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Goldman Sachs (GS) ได้กล่าวว่า การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งจะยังคงดำเนินต่อไปอีกราว 3 ปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 สู่ระดับ 98.82 หน่วย จาก 97.95 หน่วย เนื่องจากจากเงินเยนอ่อนค่าหลังจากตลาดกังวลแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังของญี่ปุ่น
ราคาทองในประเทศอยู่ในระยะขาขึ้นตามทองโลก ในขณะที่ค่าเงินบาท Sideway จึงแนะนำขายตามแนวต้านที่ระดับ 62,200 และ 62,300 บาท และรอเข้าซื้อสะสมตามแนวรับที่ 61,900 บาท แต่หากราคาหลุดแนวรับที่ 61,800 บาท แนะนำขายตัดขาดทุน
ต้องบอกว่าปีนี้นับว่าเป็น "ปีทอง"ของจริง เพราะราคาทองคำปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีบางช่วงที่พักฐานลง แต่สุดท้ายก็ปรับตัวขึ้น จนได้เห็น ราคาทองทั้ง ”รูปพรรณ”และ "ทองแท่ง” ยืนอยู่ในระดับราคาเกินครึ่งแสนต่อ ทองคำนำหนัก 1 บาท ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันทองคำในประเทศปรับขึ้นเกือบ 20,000 บาท และ Gold spot อยู่ในระดับ 4,039 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับว่าเป็นการปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เลยก็ว่าได้ ส่วนใครกำลังตัดสินใจเข้าลงทุนในตลาดทองคำ ต้องบอกว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน”
อ่านข่าว:
ราคา“ทองคำ” บวก 750 บาท ตลาดจับตาทรัมป์เจรจาชัตดาวน์สหรัฐฯ
“ทองคำ” สร้างสถิติสูงสุดรอบ 46 ปี สถาบันการเงินโลกชี้ราคาถึง 4,000 ดอลลาร์
หนี้ครัวเรือนไทยสูงสุดรอบ 4 ปี เฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสนบาท