สั่นสะเทือนไปทั้งตลาด สำหรับราคาทองที่พุ่งสูงถึงบาทละ 67,000 บาททองคำ ก่อนจะร่วงลงมาอย่างหนักเมื่อวานนี้ หลังนักลงทุนเทขายทำกำไร บวกกับค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ส่งผลให้ทองคำส่งมอบทันที(21 ต.ค.) หรือ Gold Spot ร่วงลง 5.5% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่ 4,115.83 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการลดลงที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2020 หรือต่ำสุดในรอบ 5 ปี ส่วนสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (U.S. gold futures) สำหรับส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 5.3% สู่ระดับ 4,129.20 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำดิ่งหนักสุดในรอบ 5 ปี หลังทำสถิติสูงสุด ทำให้เช้านี้ราคาทองคำในประเทศไทย เปิดตลาดทรุดฮวบ 2,500 บาททันที

หลังจากเมื่อคืน(21 ต.ค.2568) ราคาทองคำ Spot เมื่อคืนที่ผ่านร่วงหนักจากเหนือระดับ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่บริเวณแถวๆ 4,103 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเช้าวันนี้(22 ต.ค.2568) ขณะที่ราคาทองคำโคเม็กซ์สหรัฐปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาร่วงแรง 250.30 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 4,109.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาจากได้รับปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และแรงเทขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และพุ่งขึ้นราว 60% ในปีนี้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย และกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. และเดือนธ.ค.
ตลาดเทขายทำกำไร หลัง “ทรัมป์”อ่อนข้อให้จีน
ในช่วงเช้าของตลาดสหรัฐฯ ตลาดได้เริ่มเทขาย หลังจากปธน.ทรัมป์แสดงความเห็นในเชิงบวกต่อความเป็นไปได้ของการบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนและการเก็บภาษีจากจีนเพิ่มอีก 100% อาจไม่เกิดขึ้น ในขณะที่นายเควิน แฮสเซ็ตต์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้กล่าวว่า ภาวะชัตดาวน์มีแนวโน้มสิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้ โดยได้แสดงความมั่นใจว่าจะสามารถดึงพรรคเดโมแครตกลับเข้าสู่โต๊ะการเจรจาอีกครั้ง

นอกจากนี้ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ อย่าง GM ได้คาดการณ์ผลกระทบจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ในปี 2568 อยู่ที่ 3.5 – 4.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าที่บริษัทคาดการณ์ก่อนหน้าถึง 4 – 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากภาษีทรัมป์ในกรอบที่จำกัด ในขณะที่ทรัมป์ยังคงแสดงความไม่แน่นอนในการพบปะกับปธน.สี จิ้นผิง ในการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ ทั้งนี้ทางด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม รวมสุทธิ 1,058.66 ตัน
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) วิเคราะห์ว่า หากราคา Gold spot ยังยืนราคาที่ 3,409 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ยังเป็นการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อในระยะกลาง-ยาว ซึ่งหากผ่าน 4,130 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาจะทำHigher Low เหนือ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์จะเป็นสัญญาณของการจบรอบ สำหรับกลนยุทธ์ในการลงทุน หากราคาไม่หลุด 4,040 -4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์สามารถเข้าซื้อใหม่ได้ และตัดขายขาดทุนหากหลุด 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรหากราคาไม่ผ่าน 4,130 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาผ่าน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ให้ชะลอไปขายที่แนวต้านต่อไป
นักลงทุนทะลักเข้าร้านทองไม่หวั่นแม้ทองราคาสูง
ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์ ได้สำรวจราคาทองในจ.จันทบุรี พบว่ามีประชาชนแห่ไปซื้อ-ขายทองคำกันอย่างคึกคัก จากการสอบถามประชาชน ส่วนใหญ่จะซื้อสะสม และมีบางส่วนที่ต้องการขายทำกำไร สำหรับบรรยากาศร้านขายทองใน ใจกลางตลาดน้ำพุ ซึ่งย่านที่มีร้านจำหน่ายทองกว่า 10 ร้าน พบบางร้านแจกบัตรคิวลูกค้า ถึงลำดับกว่า 420 คิวแล้ว เช่น ห้างทองสัจจาภรณ์ ร้านขายทองเก่าแก่ที่เปิดมาได้ 70 ปี น.ส.พัทธ์ธีรา สัจจาภรณ์รัตน์ พนักงานขาย ระบุว่า ประชาชนตื่นตัวกับราคาทองที่ปรับตัวสูงกันมาก เอาทองทำขายทำกำไรและซื้อเพิ่มจำนวนมาก ส่วนใหญ่ นิยมซื้อทองคำแท่งไปสะสม
ขณะที่ทีมข่าวสอบถามประชาชนที่มารอคิวซื้อ-ขายทอง ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องการสะสมทองคำ แม้ว่าราคาจะสูงถึง60,000 บาทก็ตามและบางคนมีการซื้อสะสมทองคำมานาน บางคนเพิ่งกระโดดเข้ามาติดตามซื้อทองเมื่อต้นปีเพราะเห็นว่าทองยังเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต

ทำไม “ราคาทองคำ” ขึ้นๆลงๆ
สมาคมค้าทองคำ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นๆ-ลงๆ แต่ละวัน 6 ปัจจัยหลัก ไม่ว่าจะเป็น “ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ” ที่อิงกับการซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์หรือเรียกง่ายไม่ว่า ทองคำถูกกำหนดการซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทองคำก็จะแพงขึ้นตามค่าเงิน แต่ในทางตรงกันข้ามหากเงินดอลลาร์แข็งค่า ทองคำก็จะถูกลงตามค่าเงิน ซึ่งขณะนี้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น บวกกับนักลงทุนเทขายทองคำออกมาทำกำไรยิ่งทำให้ราคาทองคำลดลงในช่วงนี้
ปัจจัยต่อมาคือ “เงินเฟ้อ” เมื่อเกิดเงินเฟ้อที่สูง ผู้คนมักจะซื้อทองเพื่อป้องกันมูลค่าเงินที่ลดลง และทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าและเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และเมื่อคนมีความต้องการซื้อทองมากขึ้นจึงส่งผลต่อราคาทองคำที่แพงขึ้นเช่นกัน

ปัจจัยที่สาม “อัตราดอกเบี้ย” ยิ่งดอกเบี้ยต่ำ ทองคำจะเป็นสินค้าที่น่าสนใจและเมื่อมีคนสนใจซื้อทองคำมาก ราคาก็จะแพงขึ้น เพราะทองคำไม่มีต้นทุนเสียโอกาสจากการถือครอง ปัจจัยที่สี่ “วิกฤตเศรษฐกิจ /ความไม่แน่นอนความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์” ยิ่งวิกฤตคนยิ่งแห่ซื้อทองคำเพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยยิ่งถือยิ่งได้ผลตอบแทนที่สูง ยิ่งดันให้ราคาทองแพงขึ้นตามความต้องการของตลาด

ปัจจัยที่ห้า “อุปสงค์-อุปทาน” หรือ “ความต้องการซื้อ-ขาย” ยิ่งความต้องการมากกว่าปริมาณทองคำ ยิ่งดันให้ราคามีแนวโน้มทะยานสูงขึ้นตามความต้องการของนักลงทุน ซึ่งความต้องการทองคำ มีทั้งแบบการลงทุน ,เครื่องประดับ,ซื้อตามเทศกาลต่างๆ,ธนาคารกลางแห่สะสมทองคำเพื่อความมั่นคงทางการคลัง หรือใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ในขณะที่ความอุปทานที่ฉุดให้ทองคำพุ่ง มาจากทั้งการรีไซเคิล การขายออกของธนาคารกลาง เป็นต้น
และปัจจัยที่หก “ค่าเงินบาท” ทั้งนี้ราคาทองคำในประเทศยังขึ้นกับค่าเงินบาทเช่นกัน ถ้าเงินบาท “แข็ง” ทองไทยจะถูกลง แต่ ถ้าเงินบาท “อ่อน” ทองไทยจะแพงขึ้น เพราะราคาทองโลกอ้างอิงเป็นดอลลาร์ เมื่อเงินบาทอ่อน ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อแลกซื้อทอง ส่งผลให้ราคาทองในประเทศสูงขึ้นตาม

นักลงทุนคงต้องติดตามสถานการณ์"ทองคำ"อย่างใกล้ชิดเพราะช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นขาลงของทองคำก็ว่าได้ ปรับฐานของราคาบวกกับสถานการณ์โลกที่ผันผวนทั้ง เศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาตร์ สงครามการค้า ค่าเงิน "นักลงทุนรายย่อย"หรือนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งกระโดดเข้ามาใสตลาดทองคำตคงต้องลุ้นว่าทองคำจะกลับมาปรับตัวขึ้นแตะบาทละ 67,000 เหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อีกหรือไม่ และจะทะยานถึบาทละ 70,000-80,000 บาททองคำได้ตามที่กูรูวิเคราะห์ไว้หรือไม่คงต้องติดตามต่อ
อ่านข่าว:
เส้นทางทองคำ "การค้า-การเมืองสหรัฐฯ" ดันราคา ทะยานไม่หยุด
“ทองคำ” สร้างสถิติสูงสุดรอบ 46 ปี สถาบันการเงินโลกชี้ราคาถึง 4,000 ดอลลาร์
“ทองคำ”สินทรัพย์อมตะแห่งยุค 4 ปัจจัยบวกดันทองพุ่ง